กิจการ SME กับเรื่องของบัญชีกับภาษี ตอน SME กับการทำบัญชี : พรรณี วรวุฒิจงสถิต

พรรณี วรวุฒิจงสถิต

ช่วงนี้กิจการ SME คงได้ยินข่าวคราวที่รัฐบาลมีกิจกรรมส่งเสริมกิจการ SME มากมายหลายเรื่อง แต่สิ่งหนึ่งที่ภาครัฐรณรงค์คือขอให้กิจการ SME ทำบัญชีชุดเดียว และให้เข้าระบบให้ถูกต้อง ได้มีการพยายามจะจัดหาโปรแกรมการทำบัญชีแบบง่าย ๆ ไม่มีค่าใช้จ่าย

ช่วงนี้กิจการ SME คงได้ยินข่าวคราวที่รัฐบาลมีกิจกรรมส่งเสริมกิจการ SME มากมายหลายเรื่อง แต่สิ่งหนึ่งที่ภาครัฐรณรงค์คือขอให้กิจการ SME ทำบัญชีชุดเดียว และให้เข้าระบบให้ถูกต้อง ได้มีการพยายามจะจัดหาโปรแกรมการทำบัญชีแบบง่าย ๆ ไม่มีค่าใช้จ่าย  เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ประกอบการ ซึ่งทางผู้ประกอบการก็ต้องคอยติดตามข่าวคราวอย่างใกล้ชิด เพื่อสิทธิประโยชน์ของตนเอง

ในความจริงแล้วแม้รัฐบาลไม่ได้ออกมาขอร้องให้ทุกคนทำบัญชีชุดเดียว ตัวผู้ประกอบการเองควรที่จะต้องทำบัญชีชุดเดียวอยู่แล้ว   ในยุคปัจจุบันการทำบัญชีหลายชุดล้าสมัยไปแล้ว  เลิกความคิดที่จะทำบัญชีสำหรับส่งภาษี  ทำบัญชีเพื่อให้ธนาคารปล่อยเงินกู้  ทำบัญชีเพื่อเจ้าของดูกันเอง  เพราะสิ่งเหล่านี้แทนที่จะเป็นประโยชน์ กลับเป็นโทษมหันต์ ปัจจุบันระบบการจัดเก็บภาษีก้าวหน้าขึ้นมากมีการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย ดังนั้นการหลบหนีภาษีจึงทำได้ยากขึ้น และหากตรวจพบก็จะมีบทลงโทษร้ายแรงด้วย   ด้านธนาคารเองก็เข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น และเขาก็ต้องการบัญชีชุดเดียวที่ถูกต้อง เป็นจริง การที่ธนาคารรู้ว่ามีการทำบัญชีหลายชุด ความน่าเชื่อถือหรือเครดิตของผู้ประกอบการก็ลดน้อยถอยลงแล้ว  เขาจะรู้ได้อย่างไร ว่าอะไรจริง อะไรไม่จริง และจะมีความสามารถคืนเงินกู้เขาได้หรือไม่  ส่วนในระหว่างหุ้นส่วนกันเอง   ลึก ๆ แล้วฝ่ายที่ไม่ได้จัดการ ก็อาจจะมีความสงสัยในใจว่า บัญชีที่ทำมาให้ดูจะเชื่อได้แค่ไหน  ฝ่ายจัดการงุบงิบปิดบังอะไรหรือไม่  นานๆ เข้าก็ละสมความสงสัย จนกลายเป็นความไม่ไว้วางใจกัน และแตกคอกันในที่สุด   ดังนั้นจะเห็นว่าการมีบัญชีหลาย ๆ ชุดก่อให้เกิดปัญหามากกว่าจะเป็นเรื่องดี

การทำบัญชีชุดเดียว  ทำบัญชีทุกอย่างให้ถูกต้องตามกฎหมายบัญชี  จะทำให้กิจการมีงบการเงินที่เป็นที่น่าเชื่อถือกับทุกคนที่ใช้งบการเงินของกิจการ  ขอสินเชื่อก็ง่ายขึ้น สามารถรู้ต้นทุนของตัวเองได้ ทำให้แข่งขันได้ ก็จะได้กำไรตามต้องการ  มีกำไรก็ต้องเสียภาษี  ถ้าคิดว่าการเสียภาษีเป็นหน้าที่ของพลเมืองดี  ภาษีคือสิ่งที่จะนำไปพัฒนาประเทศชาติ สุดท้ายความเจริญก็คืนกลับมาสู่ชุมชน    ถ้ามองมุมบวกเช่นนี้   ประเทศเราจะไม่มีปัญหาเหมือนเช่นทุกวันนี้  ที่ยังมีผู้ประกอบการอยู่นอกระบบการจัดเก็บภาษีอีกมาก หรือแม้อยู่ในระบบก็ยังหลบภาษีกันอยู่

วันนี้การทำบัญชีของกิจการ SME ต้องทำตามมาตรฐานที่เรียกว่า     “มาตรฐานการรายงานทางการเงินสำหรับกิจการที่ไม่มีส่วนได้เสียสาธารณะ”  (Non-Publicly Accountable Entities-NPAEs)   บางครั้งเราเรียกมาตรฐานบัญชีชุดนี้ว่า มาตรฐานบัญชีชุดเล็ก       มาตรฐานฉบับนี้จัดทำโดยสภาวิชาชีพบัญชีในพระบรมราชูปถัมภ์ ที่เขียนขึ้นโดยอิงหลักการมาตรฐานการบัญชีทั่วไปซึ่งก็จะเป็นหลักการเดียวกับบัญชีชุดใหญ่  เพียงแต่การจัดทำมีกระบวนการที่ง่ายกว่า ไม่ยุ่งยากซับซ้อนเท่า  เพื่อไม่ให้เป็นภาระต่อผู้ประกอบการขนาดเล็กและขนาดย่อม  อย่างไรก็ดีตามที่ได้เคยแจ้งให้ทราบแล้วว่าในปี  2560   จะมีการยกเลิกมาตรฐานบัญชี NPAEs ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน เปลี่ยนเป็นใช้มาตรฐานบัญชี SME แทน  ซึ่งมาตรฐานบัญชีใหม่นี้ได้จัดทำจากการแปลมาจากมาตรฐานการบัญชีสากลที่เรียกว่า IFRS for SMEs  ทั้งนี้เพื่อเป็นการยกระดับมาตรฐานการบัญชีสำหรับ SME บ้านเราให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล และเตรียมความพร้อมเมื่อก้าวเข้าสู่ AEC  เพราะสมาชิก AEC ส่วนใหญ่ใช้ IFRS for SMEs กันเกือบหมดแล้ว

กิจการ SME  ในบ้านเราส่วนใหญ่จะจ้างสำนักงานทำบัญชีเป็นผู้ทำบัญชีและจัดทำงบการเงิน เนื่องจากจะมีค่าใช้จ่ายถูกกว่าการจ้างพนักงานบัญชีประจำ  โดยผู้ประกอบการไม่ได้สนใจในเรื่องของบัญชีหรืองบการเงินแต่อย่างใด คิดแต่เพียงว่าจะต้องการเสียภาษีเท่าไหร่  ก็ให้จัดทำบัญชีตามนั้น  ผู้ประกอบการต้องเข้าใจว่า การทำบัญชีคือการจดบันทึกหลักฐานเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจ  กิจกรรมในทางธุรกิจทุกเรื่องจะต้องถูกนำมาบันทึกตามระบบบัญชี  ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการซื้อ การขาย  การเก็บสินค้า การรับเงิน จ่ายเงินต่าง ๆ ล้วนแล้วแต่ต้องนำมาจัดประเภทเพื่อการลงบัญชีให้ถูกต้องโดยต้องมีเอกสารประกอบการลงรายการ  ดังนั้นการจ้างสำนักงานบัญชีที่ไม่ได้อยู่ประจำกับกิจการ ก็อาจเป็นไปได้ว่าการบันทึกรายการอาจไม่ถูกต้อง ไม่ครบถ้วน ผิดประเภท เอกสารหลักฐานไม่มี หรือมีไม่ครบ ต่อให้เป็นสำนักงานบัญชีที่มีคุณภาพ  หากระบบการจัดการภายในกิจการไม่ได้มีการจัดระเบียบ มีระบบเป็นเรื่องเป็นราว  ก็อาจผิดพลาดได้เช่นกัน  การปล่อยให้บัญชีเป็นเช่นนี้จะก่อให้เกิดปัญหากับกิจการในเวลาข้างหน้า  หากสารวัตรบัญชีตรวจพบว่าทำบัญชีไม่ถูกต้องตามกฎหมายบัญชี ผู้ประกอบการก็จะมีโทษได้ โทษมีทั้งปรับ หรือ จำคุก ก็แล้วแต่ความผิดที่มี   และยังมีความผิดเกี่ยวกับการจัดทำบัญชีและงบการเงินตามประมวลกฎหมายแพ่งพาณิชย์ในเรื่องเกี่ยวกับการจัดการห้างหุ้นส่วนและบริษัท

นอกจากนี้การมีบัญชีไม่ถูกต้อง  ยังส่งผลให้ผู้อ่านงบการเงิน เมื่อนำไปวิเคราะห์แล้ว ขาดความเชื่อถือ  โดยเฉพาะสถาบันการเงิน การที่จะปล่อยสินเชื่อให้ได้  ก็ต้องมีงบการเงินที่น่าเชื่อถือได้  มีระบบบัญชีที่ดีทำให้เขาเชื่อถือว่าเมื่อปล่อยกู้แล้วสามารถจ่ายดอกเบี้ยและคืนเงินต้นให้เขาได้  ในการเสียภาษีเงินได้กับสรรพากร หากงบการเงินน่าเชื่อถือ  ระบบบัญชีดี  มีระบบการควบคุมภายใน  มีเอกสารหลักฐานประกอบการลงบัญชีครบถ้วน  เหล่านี้ส่งผลให้เกิดความน่าเชื่อถือที่จะทำให้เขาไม่มาขุดคุ้ย  ตรวจสอบแบบเอาเป็นเอาตายเว้นแต่มีสิ่งผิดปกติ   จะเห็นได้ว่าการทำบัญชีให้ดี มีประโยชน์มหาศาล ประกอบกับควรให้มีนักบัญชีเป็นพนักงานประจำ เพื่อคอยติดตามเอกสารหลักฐาน  จัดแยกประเภทรายการตามกิจกรรมที่ทำ   ย่อมมีคุณมากกว่าโทษ แม้ท่านจ้างสำนักงาน ภายในกิจการเองก็ต้องมีนักบัญชีคอยประสาน   ท่านผู้ประกอบการอย่าได้เสียน้อย เสียยาก เสียมาก เสียง่ายอีกต่อไปเลย

ที่กล่าวมาแล้วเป็นประโยชน์ของงบการเงินที่จะช่วยให้คนภายนอกมองเห็นเรา ว่าตัวตนเราเป็นอย่างไร ฐานะการเงินแข็งแกร่งขนาดไหน  ผลการดำเนินงานของเราแต่ละปีมีกำไรหรือขาดทุนเท่าไหร่  ภาพพจน์กิจการเราดีขนาดไหน เปิดเผย โปร่งใส น่าเชื่อถือเพียงใด  ถ้าจะเทียบกับตัวตนเรา ก็เหมือนว่ามีโหงวเฮ้งดี  มีการแต่งกายดี ก็ดูฟอร์มดีมีชัยไปกว่าครึ่งแล้ว   แต่ประโยชน์งบการเงินไม่ใช่แค่ทำให้ฟอร์มดีเท่านั้น   ผู้ประกอบการสามารถใช้ข้อมูลทางบัญชี มาบริหารจัดการธุรกิจให้เกิดกำไรอย่างยั่งยืนได้อีกด้วย  ถ้าเรามีระบบบัญชีดี ข้อมูลถูกต้อง ครบถ้วน  จะทำให้เราสามารถวิเคราะห์หาจุดคุ้มทุน  หากำไรที่ต้องการได้  สามารถสู้กับคู่แข่งได้  ทำให้รู้พฤติกรรมการขายหรือรายได้ต่อประเภทสินค้า ก็จะทำให้เราได้แนวทางในการจะบุกตลาด หรือจะถอย  หรือหาอย่างอื่นทำแทน  เราจะได้ข้อมูลที่เป็นจริงที่เราสามารถทำได้แล้ว   ผ่านมาแล้ว  เอาข้อมูลเหล่านี้มาพยากรณ์เหตุการณ์อนาคต  ทำให้เราตั้งเป้าหมายได้ชัดเจน  เดินสู่เป้าหมายได้อย่างรู้ตัวว่าจะได้เท่าไหร่เสียเท่าไหร่ มิใช่วางแผนกลยุทธ์ที่ไม่มีข้อมูลความจริงมาสนับสนุน ซึ่งข้อมูลเหล่านี้หากมีระบบบัญชีที่ดี  สามารถนำมาใช้ได้แน่นอน  และก็แน่นอนว่าต้องเป็นบัญชีชุดเดียว  หากมีหลายชุดข้อมูลไหนจริง ไหนไม่จริงยากที่จะเชื่อถือได้สนิทใจ  อีกทั้งการมีบัญชีหลายชุดย่อมก่อให้เกิดความเสียหายใหญ่หลวงอย่างไม่รู้ตัว  เพราะระบบจะควบคุมไม่ได้ ทำให้เกิดการรั่วไหล เสียหาย มีโอกาสเกิดทุจริตอีกด้วย

ดังนั้นวันนี้ผู้ประกอบการ SME ทุกท่านต้องหันกลับมามองฝ่ายบัญชีในกิจการอย่างจริงจัง จากเดิมที่ท่านสนใจแต่ฝ่ายขาย  ฝ่ายการตลาด  ฝ่ายผลิต คิดแต่จะหาเงิน หากำไร  คิดว่าต้นทุนที่ตนเองคิดโอเคแล้ว  โดยลืมไปว่าต้นทุนที่แท้จริงยังมีอะไรอีกบ้าง  แทนที่จะได้กำไร กลับขาดทุน  หากท่านเข้าใจหลักการที่เขาใช้จัดทำงบการเงิน  ท่านอ่านงบการเงินได้อย่างเข้าใจ  สามารถวิเคราะห์แบบง่าย ๆ  ได้     ท่านจะใช้ประโยชน์จากงบการเงินได้อย่างมากมาย

หากจะสรุปอย่างย่อ ๆ เกี่ยวกับหลักการของมาตรฐานการบัญชี เพื่อให้เข้าใจง่าย ๆ ก็จะอธิบายได้ดังนี้

1   การรับรู้รายการ หรือการตัดรายการบัญชี ต้องทำเมื่อไหร่   กิจกรรมทางธุรกิจเกิดแล้ว ต้องลงบัญชีทันที หรือรอก่อนได้   หรือรายการอยู่ในบัญชีแล้วจะตัดออกไปอย่างไร   เหล่านี้ล้วนมีกฎข้อบังคับทางบัญชีทั้งสิ้น   ต้องรู้ว่ารายการเกิดแล้ว ยังไม่ได้เงิน หรือยังไม่จ่ายเงิน ก็ต้องรับรู้แล้ว ส่วนจะรับรู้เป็นประเภทไหนก็แล้วแต่   เพราะหลักบัญชียึดหลักเกณฑ์คงค้าง ไม่ใช่เกณฑ์เงินสด

2   ถ้าลงบัญชีจะลงเป็นรายการประเภทไหน   รายได้ ค่าใช้จ่าย  สินทรัพย์ หรือว่าหนี้สิน   เพราะรายการรายได้ ค่าใช้จ่ายจะไปแสดงอยู่ในงบกำไรขาดทุน  แต่รายการสินทรัพย์ หนี้สิน ส่วนทุน จะไปแสดงอยู่ในงบแสดงฐานะการเงิน

3   มูลค่าหรือจำนวนเงินที่จะบันทึกเป็นราคาอะไร  ธรรมดาก็จะบันทึกตามราคาทุนที่จ่ายไปจริง หรือตามมูลค่าราคาที่ขายได้  แต่ก็มีหลักการว่าทุกครั้งที่มีการปิดบัญชี  สินทรัพย์หนี้สินต้องมีการวัดมูลค่าใหม่ เพื่อให้ยอดเงินที่อยู่ในงบการเงินเป็นยอดเงินที่เป็นตามจริง  เช่น หากมีลูกหนี้ที่คาดว่าจะเรียกเก็บไม่ได้ ก็ต้องมีการลดมูลค่าลง ที่เราเรียกกันว่า สำรองหนี้สงสัยจะสูญ  หรือสินค้าคงเหลือที่จะแสดงในงบแสดงฐานะการเงิน  ต้องตีราคาทุนหรือราคาที่จะขายได้แล้วแต่อะไรที่ต่ำกว่า หรือที่ท่านคงเคยได้ยินว่า ต้องพิจารณาสินทรัพย์ว่าเกิดการด้อยค่าหรือไม่   เป็นต้น  ผลการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ที่มูลค่าหายไปจะกลายไปเป็นค่าใช้จ่ายในงบกำไรขาดทุน    การเปลี่ยนแปลงการวัดมูลค่ารายการในงบการเงินนอกจากจะกระทบงบกำไรขาดทุนแล้ว  ยังมีผลต่อการจ่ายเงินปันผล  มีผลต่อมูลค่าของกิจการหรือราคาหุ้นของกิจการอีกด้วย

4   ในการนำเสนองบการเงิน  ก็ต้องมีรูปแบบที่บังคับให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน เพื่อดูเปรียบเทียบกันได้  เพื่อเข้าใจได้ว่า  มีฐานะการเงินอย่างไร  กำไรขาดทุนเท่าไหร่ คู่แข่งเป็นอย่างไรเราก็สามารถดูได้จากงบการเงินของเขาเช่นกันสามารถวิเคราะห์อัตราส่วนทางการเงิน วิเคราะห์เปรียบเทียบรายการต่าง ๆ  วิเคราะห์สภาพคล่อง สัดส่วนหนี้สินต่อทุน รู้ความสามารถในการหากำไร และยังสามารถคาดเดาอนาคตได้อีกด้วย   เนื่องจากในงบการเงิน จะมีหมายเหตุประกอบงบการเงินที่นอกจากจะเปิดเผยถึงรายละเอียดประกอบบัญชีแต่ละเรื่องแล้ว  ยังมีการเปิดเผยรายการที่ไม่ได้บันทึกไว้ในงบการเงิน แต่เป็นสถานการณ์ที่ต้องเปิดเผยให้ผู้อ่านงบการเงินได้รับรู้ไว้ เช่น การมีคดีฟ้องร้อง เป็นต้น การมีหมายเหตุประกองงบการเงินก็ เพื่อให้เกิดความโปร่งใส  เข้าใจได้  สามารถมีข้อมูลเพื่อนำไปใช้ประกอบการตัดสินใจเชิงเศรษฐกิจได้

วันนี้ผู้อ่านบางท่านอาจเบื่อ เลิกอ่านไปแล้ว  แต่ถ้าท่านได้อ่านตอนท้ายนี้ ขอให้ย้อนกลับไปอ่านในประเด็นต่างๆ ที่พูดถึงความสำคัญของการทำบัญชีที่ดี  มีบัญชีชุดเดียว  ซึ่งหากท่านเข้าใจ จะเป็นประโยชน์กับท่านมาก วันนี้ท่านจะต่อต้าน ทำแบบเดิม หรือไม่สนใจ คงทำไม่ได้อีกต่อไปแล้ว เพราะภาครัฐเดินเครื่องแล้ว  ทางที่ดีควรเผชิญหน้ากับความจริง ทำความเข้าใจและทำให้ถูกต้องจะดีกว่า  ผู้เขียนเองก็พยายามสรุปประเด็นสำคัญ ๆ เพื่อให้ท่านเข้าใจง่าย ๆ  เนื่องจากหน้ากระดาษบังคับจึงไม่อาจอธิบายรายละเอียด หรือยกตัวอย่างมากกว่านี้  แต่ตอนต่อ ๆ ไป เราอาจหยิบยกแต่ละประเด็นมาเจาะลึกคุยกันก็ได้

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ