ในระยะนี้เมื่อไปไหนก็ได้ยินการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับเรื่องเศรษฐกิจดิจิทัลที่รัฐบาลกำลังผลักดันเป็นประจำ นิตยสารและหนังสือพิมพ์ก็ลงข่าวเรื่องนี้มาก รายการข่าวโทรทัศน์ก็นำเสนอทั้งข่าวและถ่ายทอดคำบรรยายที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ให้ประชาชนได้รับทราบเช่นกัน
คำถามที่คนทั่วไปสงสัยที่ว่า Digital Economy หรือ เศรษฐกิจดิจิทัล คืออะไรนั้น มีคำตอบได้หลากหลายมากสุดแท้แต่มุมมอง ในภาพรวมนั้นเศรษฐกิจดิจิทัลเป็นความพยายามของรัฐบาลที่จะกำหนดแนวทางในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศโดยใช้ “เทคโนโลยีดิจิทัล” ซึ่งก็คือเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือ ไอซีที ที่พวกเรารู้จักกันนั่นเอง
การที่รัฐบาลเห็นว่าเรื่องนี้สำคัญก็เพราะ ในความเป็นจริงนั้นการปฏิบัติงานในภาครัฐของไทยนั้นไม่ได้มีความเข้มแข็งทางด้านไอซีทีเท่าใดเลย ระบบไอซีทีที่ขึ้นหน้าขึ้นตาในภาครัฐก็มีแค่เพียงระบบเลขประจำตัวประชาชน ๑๓ หลัก ซึ่งนำไปสู่การให้บริการทำบัตรประชาชนได้รวดเร็ว, ทำหนังสือเดินทางได้โดยไม่ยุ่งยาก, และ เผื่อแผ่ข้อมูลไปให้อีกหลายสิบหน่วยงานใช้ในการตรวจสอบและให้บริการประชาชน. สำหรับระบบอื่นๆ ที่พวกเราไปเกี่ยวข้องด้วย ก็มีระบบชำระภาษีเงินได้ออนไลน์, ระบบตรวจคนเข้าเมือง, ระบบตรวจสอบพิกัดสินค้าศุลกากร, ระบบการให้บริการในโรงพยาบาล และบริการปลีกย่อยอื่นๆในหน่วยงานภาครัฐหลายแห่ง
แต่การใช้ไอซีทีของไทยเองยังไปไม่ถึงระดับที่สามารถบูรณาการระบบงานของหน่วยงานต่างๆ เข้าด้วยกัน แม้แต่เวชระเบียนของต่างโรงพยาบาลกันก็ยังไม่สามารถบูรณาการกันได้
ในทางตรงกันข้าม ระบบในบริษัทเอกชนขนาดใหญ่ เช่น ธนาคาร, อุตสาหกรรม, ผู้ประกอบการพาณิชย์ทั้งหลายได้ก้าวหน้าไปมาก การขายสินค้าแบบออนไลน์ก็ได้รับความนิยมมากขึ้นจนพลอยทำให้บริษัทไปรษณีย์ไทยได้รับอานิสงค์ค่าจัดส่งสินค้าไปด้วย.
ด้วยเหตุนี้เอง การผลักดันเศรษฐกิจดิจิทัลของรัฐบาลจึงเป็นเรื่องดีเพราะวัตถุประสงค์หลักก็คือการผลักดันให้เกิดโครงสร้างพื้นฐานทั้งทางด้านการสื่อสาร, เครือข่าย และ ระบบไอทีทั้งหลายในภาครัฐให้สามารถจัดทำบริการแก่ประชาชนได้อย่างรวดเร็วและมีคุณภาพ หน่วยงานต่างๆ ต้องสามารถเชื่อมโยง และบูรณาการการทำงานร่วมกัน ต้องให้การสนับสนุนแก่ภาคเอกชนในการใช้ไอซีทีที่ก้าวหน้าในการทำธุรกิจในระดับที่สามารถแข่งกันประเทศอื่นๆได้ และ ต้องจัดทำศูนย์ข้อมูลและศูนย์สารสนเทศที่มีข้อมูลสำคัญที่ภาคเอกชนและประชาชนสามารถเข้าถึงเพื่อใช้ประโยชน์ได้ด้วย
วัตถุประสงค์ที่กล่าวมานี้ ดูเหมือนว่าจะไปเน้นที่ภาครัฐเป็นส่วนใหญ่ ดังกล่าวมาข้างต้น ตรงนี้ก็มาถึงคำถามสำคัญต่อมาก็คือ แล้ว SME จะได้ประโยชน์อะไรและจะต้องทำตามกระแสเศรษฐกิจดิจิทัลของรัฐบาลหรือไม่
คำตอบดูจะชัดเจนอยู่ในตัว นั่นคือถ้าหากหน่วยราชการทั้งหลายยกระดับการปฏิบัติงานจากการใช้มือและกระดาษไปใช้ระบบดิจิทัล หรือระบบไอทีหมด การสื่อสารติดต่อของ SME กับหน่วยราชการทั้งหลายก็ต้องใช้ระบบดิจิทัลเช่นกัน นั่นทำให้ SME ต้องปรับเปลี่ยนการทำธุรกิจโดยพิจารณานำอุปกรณ์ดิจิทัล (ซึ่งก็คืออุปกรณ์ไอที) มาใช้เป็นเครื่องมือในงานต่างๆอย่างกว้างขวางและทั่วถึง ทั้งในส่วนที่เป็นงานบริการ, งานขาย, งานผลิต, งานบัญชี, งานสนับสนุนลูกค้า, งานสินค้าคงคลัง, ฯลฯ และที่สำคัญที่สุดก็คืองานตัดสินใจ
เจ้าของและผู้บริหาร SME ในปัจจุบันเริ่มรู้จักใช้ข้อมูลและสารสนเทศมากขึ้นกว่าเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว แต่ข้อมูลและสารสนเทศที่มีเฉพาะที่เกี่ยวกับการผลิตและการบริการของตนเองเท่านั้นไม่เพียงพอแล้ว SME จะต้องรู้ข้อมูลและสารสนเทศของคู่แข่งทั้งในประเทศและในอาเซียน SME จะต้องรู้สารสนเทศเกี่ยวกับลูกค้าและพฤติกรรมความชอบของลูกค้าทั้งภายในประเทศและในอาเซียน SME จะต้องเข้าใจแนวโน้มเกี่ยวกับความคิดของลูกค้า และจะต้องติดตามว่าสังคมและสิ่งแวดล้อมกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร
ข้อมูลและสารสนเทศเหล่านี้มาจากสื่อต่างๆมากมายและที่สำคัญก็คือ สื่อสังคม หรือ Social Media ที่กำลังมีบทบาทสำคัญจนถึงขั้นอาจชี้เป็นชี้ตายให้ SME ได้
ดังนั้นคำถามจึงไม่ใช่ว่า SME จะต้องตามกระแสเศรษฐกิจดิจิทัลหรือไม่ เพราะไม่ว่ารัฐบาลชุดต่อๆไปจะดำเนินการเรื่องนี้ต่อไปหรือไม่ SME ก็ยังคงจะต้องทำตนให้อยู่ในกระแสเศรษฐกิจดิจิทัลของโลกต่อไปอย่างหนีไม่พ้น
ถึงเวลาแล้วที่ SME จะต้องคิดทบทวนใหม่ว่าเราจะใช้ประโยชน์จากเศรษฐกิจดิจิทัลได้อย่างไรทั้งในด้านการพัฒนาให้การดำเนินธุรกิจของตนเองเป็นระบบดิจิทัลมากขึ้น, การจัดเก็บข้อมูลและสารสนเทศให้เป็นระบบและสามารถช่วยให้ผู้บริหารตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิผลมากขึ้น, การสร้างเครือข่ายเชื่อมโยงกับผู้ผลิต, ผู้จำหน่าย, ลูกค้า และ หน่วยราชการเพื่อให้สามารถเห็นโอกาสทางธุรกิจได้ดีขึ้น, การปฏิบัติงานรวดเร็วและมีคุณภาพมากขึ้น, ตลอดจนทำให้ลูกค้าและผู้รับบริการมีความผูกพันอย่างจริงใจกับตัวเรามากขึ้น.
ในช่วงที่เรากำลังจะเปิดประตูไปสู่ความเป็นอาเซียน หน่วยงานราชการก็จะต้องสนับสนุนงานเอกชนมากขึ้น เอกชนก็ต้องช่วยสนับสนุนงานราชการตามไปด้วยเช่นกัน เศรษฐกิจดิจิทัลเป็นช่องทางที่จะทำให้เกิดการสนับสนุนกันและกันในทำนอง symbiosis ได้เป็นอย่างดี และนี่อาจจะเป็นทางเดินทางเดียวที่เหลืออยู่สำหรับ SME และประเทศไทยก็ได้.