มาร์ก ซักเกอร์เบิร์ก ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เฟสบุ๊ก(Facebook) วัย 31 ปีเปิดเผยว่าภรรยาของเขา พริสซิลล่า ชาน ได้ให้กำเนิดบุตรสาวชื่อ “แม็กซ์” พร้อมประกาศรับขวัญลูกสาวด้วยการบริจาคหุ้นเฟสบุ๊กของเขาจำนวน 99% คิดเป็นมูลค่า 4.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐหรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 1.6 ล้านล้านบาทเข้าองค์กรการกุศลเพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตมนุษย์และส่งเสริมความเท่าเทียมกันของมนุษย์ให้ดียิ่งขึ้น โดยโพสต์ข้อความบนเฟสบุ๊กของเขาเองว่า
“ผมก็เหมือนกับทุกคนในทุกครอบครัว ที่อยากให้ลูกเติบโตขึ้นในโลกที่ดีกว่าที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้”
มาร์ก ซักเกอร์เบิร์กและภรรยา พริสซิลล่า ชาน ได้ร่วมกันก่อตั้งมูลนิธิ Chan Zuckerberg Initiativeขึ้นเพื่อเป็นริเริ่มให้คนทั่วโลกได้ช่วยกันพัฒนาคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษย์และส่งเสริมความเท่าเทียมกันของเด็กในยุคต่อไป
ตอนอายุ 26 ปี มาร์ก ซักเกอร์เบิร์ก ตกลงเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ The Giving Pledge ซึ่งก่อตั้งโดยบิล เกตส์ หมาเศรษฐีผู้ก่อตั้งและเจ้าบริษัทไมโครซอฟท์ และวอร์เรน บัฟเฟตต์ มหาเศรษฐีนักลงทุนเจ้าของบริษัทเบิร์กเชียร์ ฮาธาเวย์ เป็นโครงการที่จัดตั้งขึ้นเพื่อเชิญชวนให้บุคคลที่มีฐานะร่ำรวยเข้ามาร่วมบริจาคทรัพย์สินกว่าครึ่งเพื่อการกุศล
บิล เกตส์มหาเศรษฐีร่ำรวยอันดับของโลกหลายปีติดต่อกัน ได้ร่วมกับภรรยาก่อตั้งมูลนิธิ “บิล แอนด์ เมลินดา เกตส์” มีเป้าหมายช่วยให้ทุนการศึกษา การวิจัยค้นคว้าวิทยาศาสตร์และสุขภาพ โดยบิล เกตส์ได้บริจาคเงินไปแล้วกว่า 28,000 ล้านเหรียญสหรัฐหรือคิดเป็นเงินประมาณเกือบ 1 ล้านล้านบาท ปัจจุบันมูลนิธิของเขากลายเป็นหน่วยงานการกุศลภาคเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในโลกมีทรัพย์สินประมาณ 1.2 ล้านล้านบาท ในแต่ละปีจะใช้จ่ายเงินเพื่อกิจการกุศลสาธารณะประมาณ 32,000 ล้านบาท บิล เกตส์ประกาศว่า
“ผมได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างดี มีอาหารและเสื้อผ้าพอแล้ว เงินที่มีมากกว่าที่จะใช้ได้นั้น จะไม่มีประโยชน์ใดๆ ดังนั้นจึงควรที่จะนำมาทำการกุศล”
วอร์เรน บัฟเฟตต์ มหาเศรษฐีนักลงทุนชาวอเมริกันวัย 84ปี ร่ำรวยติดอันดับต้นๆของโลกหลายปีติดต่อกัน ได้บริจาคเงินเข้ามูลนิธิบิล แอนด์ เมลินดา เกตส์ และมูลนิธิในครอบครัวของบัฟเฟตต์ มาอย่างต่อเนื่องทุกปี ซึ่งเป็นไปตามความตั้งใจของเขาที่จะบริจาคทรัพย์สินเงินทองเกือบทั้งหมดเท่าที่มีให้แก่สังคมก่อนที่จะจากโลกนี้ไป ปีนี้เป็นปีที่ 10 ของการบริจาคยอดเงินบริจาครวมมากกว่า 21,500 ล้านเหรียญสหรัฐหรือคิดเป็นเงินไทยมากกว่า 750,000 ล้านบาท
ยังมีมหาเศรษฐีของโลกผู้ใจบุญอีกเป็นจำนวนมากที่บริจาคทรัพย์สินเงินทองให้กับมูลนิธิองค์กรสาธารณะกุศล สำหรับประเทศไทยของเรามีมหาเศรษฐีใจบุญที่ได้รับการยกย่องจากนิตยสารForbesอยู่ 4 ท่านคือ คุณบุญชัย เบญจรงคกุล ผู้ก่อตั้งบริษัท DTAC คุณตัน ภาสกรนที เจ้าของอิชิตัน คุณพิไลพรรณ สมบัติศิริ ประธานโรงแรมปาร์คนายเลิศ คุณทองมา วิจิตรพงศ์พันธ์ เจ้าของบริษัทพฤกษา
คุณวิกรม กรมดิษฐ์ ประธานคณะผู้บริหาร บมจ.อมตะ คอร์ปอเรชั่น มหาเศรษฐีผู้มีชื่อเสียงประกาศจะโอนทรัพย์สินส่วนตัวทั้งหมดในตลาดหลักทรัพย์มูลค่าประมาณ 5,000 ล้านบาทให้กับมูลนิธิอมตะ
“ทุกวันนี้ กูมีเงินเพราะพวกมึงช่วยเหลือ พวกมึงบริจาคกันเป็นล้านๆ กูก็เอาไปให้คนที่มันลำบากเดือดร้อน แต่ถ้ากูเห็นแก่ได้ เก็บเอาไว้คนเดียวใครจะมาบริจาคให้กูอีก เพราะให้มาไม่เอาไปเผื่อแผ่แก่คนทุกข์ยาก ยิ่งเอามันยิ่งหมด ยิ่งสละให้หมดมันยิ่งได้”
บันทึกข้อความในหนังสืออนุสรณ์ของพระเทพวิทยาคมหรือหลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ วัดบ้านไร่ จังหวัดนครราชสีมา โดยท่านได้บริจาคเงินบริจาคของลูกศิษย์ลูกหาผู้มีจิตศรัทธาจำนวนมากให้กับหลายหน่วยงานเพื่อสร้างประโยชน์ให้กับสังคมและบ้านเมืองในเช่นการสร้างวัด โรงเรียน วิทยาลัย โรงพยาบาล ห้องสมุด ที่ว่าการอำเภอ สถานีตำรวจ ฯลฯ มาอย่างต่อเนื่องยาวนานจวบจนหลวงพ่อคูณได้ละสังขารไปเมื่อเดือนพฤษภาคม 2558 รวมเงินบริจาคกว่า 5,000 ล้านบาท
หลวงพ่อคูณเป็นพระเกจิผู้มีเมตตาธรรมเป็นที่ศรัทธาเข้าถึงของคนทุกชนชั้น คำกล่าวของท่านที่ว่า “ยิ่งเอามันยิ่งหมด ยิ่งสละให้หมดมันยิ่งได้” เป็นจริงอย่างยิ่ง
การที่มหาเศรษฐีผู้ใจบุญของโลกบริจาคทรัพย์สินเงินทองที่หามาได้เพื่อสร้างประโยชน์ให้สังคมและเพื่อนมนุษย์เป็นกระแสการให้ที่น่ายกย่องเชิดชู การให้ไม่ได้ผูกขาดอยู่แต่เฉพาะมหาเศรษฐีผู้ร่ำรวยมั่งคั่งเท่านั้น พ่อค้านักธุรกิจ ผู้บริหาร คนทำงานทุกสาขาอาชีพก็ทำได้มากน้อยแล้วแต่กำลังความสามรถที่จะให้ที่จะบริจาค เชื่อเถิดว่า “ยิ่งให้ ยิ่งได้”