ผังบุคคล : สุขุม นวลสกุล

อ.เสน่ห์ ศรีสุวรรณ

ณ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งนานมาแล้ว มีเรื่องอื้อฉาวพูดกันสนุกสนานทั้ง ๆ ที่น่าจะเป็นเรื่องเศร้าเรียกว่าเป็นทอล์คอ๊อฟเดอะทาวน์ เอ๊ย…..ยูนิเวอร์ซิตี้เลยทีเดียว เป็นเรื่องของนักการภารโรงผู้หนึ่งแต่งงานมีงานเลี้ยงใหญ่โต แต่จบแบบโศกนาฏกรรม

 ณ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งนานมาแล้ว  มีเรื่องอื้อฉาวพูดกันสนุกสนานทั้ง ๆ ที่น่าจะเป็นเรื่องเศร้าเรียกว่าเป็นทอล์คอ๊อฟเดอะทาวน์  เอ๊ย…..ยูนิเวอร์ซิตี้เลยทีเดียว   เป็นเรื่องของนักการภารโรงผู้หนึ่งแต่งงาน

มีงานเลี้ยงใหญ่โต    แต่จบแบบโศกนาฏกรรมคือ  ไม่มีการส่งตัวเจ้าบ่าวเข้าหอ  ถูกเฉดออกจากงานต้องกลับมานอนเฝ้าตึกเรียนเหมือนเดิม

            เรื่องของเรื่องคือฝ่ายเจ้าสาวและผู้ปกครองรวมทั้งวงศาคณาญาติเพิ่งทราบวันแต่งงานว่า  ทำงานมหาวิทยาลัยในตำแหน่ง “นักการภารโรง” เข้าใจผิดตลอดมาว่าเป็นอาจารย์ของมหาวิทยาลัย  เพราะเป็นคนบุคลิกภาพดี  แม้เป็นภารโรงแต่มาทำงานทุกวันด้วยชุดไม่พระราชทานก็ซาฟารี  ดูภูมิฐานสง่าราศีดีกว่าอาจารย์บางท่านเสียอีก

          เพราะระยะหลังอาจารย์จำนวนไม่น้อยชอบแต่งกายสบาย ๆ มาทำงานหรือมาสอน  บางคนใส่เสื้อลอยชายนุ่งกางเกงยีนส์บางทีใส่รองเท้าแตะด้วยซ้ำไป  คณบดีหรืออธิการบดีไม่กล้าทักหรอกครับ เกรงโดนสวนกลับว่า รู้จัก “เสรีภาพ” หรือเปล่า

            ดังนั้นเมื่อบอกใครต่อใครว่าทำงานมหาวิทยาลัย   ใคร ๆ ที่ไม่ได้อยู่ในมหาวิทยาลัยก็เลยเรียกตามความเข้าใจว่า”อาจารย์”   ท่าน เอ๊ย….แกก็ไม่ปฏิเสธ  อาจจะนึกครึ้มอกครึ้มใจด้วยซ้ำไป  แม้จะไม่แทนตัวเองว่า “อาจารย์”  แต่ก็ไม่ปฏิเสธให้คนเรียกเสียหน้า…….ฮ่า

            อย่าว่าแต่ภารโรงเลย  ผมเองก็กระอักกระอ่วนใจเวลาใครต่อใครเรียกว่า “ด๊อกเต้อร์”  เพราะผมไม่ได้เรียนจบปริญญาเอก  แต่คนเห็นผมเป็นถึงผู้บริหารระดับสูงของมหาวิทยาลัยน่าจะจบระดับ ดร. เป็นแน่  ใครเรียกแล้วผมจะปฏิเสธขออธิบายก็คงวุ่นวายใช้เวลา บางทีจึงปล่อยเลยตามเลย อยากเรียกก็เรียกไป เพียงแต่ไม่เคยแทนตัวเองว่า “ด๊อกเต้อร์” เท่านั้นเอง

            สำหรับเจ้าบ่าวที่คนภายนอกเข้าใจว่าเป็นอาจารย์   ความจริงมาเปิดเผยเอาวันแต่งงานด้วยความปรารถนาดีของท่านอธิการบดีที่มีน้ำใจให้เกียรติไปเป็นประธานงานวันนั้น  เพราะภารโรงคนนั้นทำงานประจำสำนักอธิการบดี  ตอนขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ให้โอวาทและอวยชัยให้พรคู่บ่าวสาว

            ท่านกล่าวชมเจ้าบ่าวว่าเป็นคนดีอย่างนั้นอย่างนี้แม้จะเป็นภารโรงก็ตาม  ก็เป็นไปตามวัฒนธรรมหรือประเพณีของงานละครับ  มีใครจะไปกล่าวตำหนิหรือความไม่ดีของคนที่สมมุติว่าเป็นพระเอกของงานละครับ ขืนทำแบบนั้นก็ต้องถือว่าผิดกติกา จริงไหมครับ

แต่ถึงจะสดุดีอย่างไรฝ่ายผู้หลักผู้ใหญ่ของเจ้าสาวไม่ยอมรับรู้ด้วยแล้ว ตอนนั้นคงหูอื้อและอาจจะถึงขั้นตาลายผสมด้วย คงคิดแต่เพียงว่าโดนหลอกลวงให้เข้าใจผิดตลอด   และวันนั้นฝ่ายเจ้าสาวไม่ยอมจบแบบตกกระไดพลอยโจนเสียด้วยซี แต่ยกกระได้หนีไม่ให้ขึ้นบ้านเลย  เจ้าบ่าวก็เลยตกวิมานต้องกลับคืนนอนกระต๊อบ เอ๊ย….เฝ้าห้องเรียนดังเดิม

เจ้าบ่าวคงมาคิดได้ภายหลังนะครับว่า “รู้งี้  ไม่เชิญอธิการไปงานดีกว่า”

            เรื่องอย่างนี้ถ้าโทษว่าเป็นความผิดของเจ้าบ่าวก็มั่นใจได้เลยว่า เขาไม่ยอมรับแน่ ๆ  อาจแก้ตัวในลักษณะ  “ช่วยไม่ได้  อยากเข้าใจผิดเองทำไม”   ผมแค่บอกว่า “ทำงานมหาวิทยาลัย………  ก็ไปคิดเอาเองว่า เป็นอาจารย์”   ผมไม่เคยแอบอ้างเป็นอาจารย์นะ  จะบอกให้

            เรื่องจริงที่ไม่น่าเชื่อนี้คงไม่เกิดขึ้น  ถ้าฝ่ายบุคคลของสำนักงานอธิการบดีจะมี “ผังบุคคล”ของสำนักงานอธิการบดี ติดโชว์ไว้ที่บอร์ดหรือป้ายประกาศของที่ทำการ  ใครผ่านไปผ่านมาได้มองเห็น   หน้าตาอธิการบดีและรองอธิการบดีรวมทั้งของอาจารย์หรือคนทำงานที่ตึกนั้น

 ใครอยู่ตรงไหนมีตำแหน่งหน้าที่เรียกอะไร  อาจมีทั้งสายบังคับบัญชาแสดงให้ดูว่าใครเหนือใครต่ำกว่าใคร   ดูปั๊บเห็นชัดเจน  ไม่จำเป็นต้องเดาจากโหงวเฮ้งหรือบุคลิกภาพ  ซึ่งอาจผิดพลาดได้ดังเรื่องที่เอามาเขียนให้อ่านข้างต้น

            ผมจึงอยากเสนอแนะ HR ของบริษัทหรือองค์การต่าง ๆ  จัดทำ “ผังบุคคล”ของแผนกหรือฝ่ายต่าง ๆ ติดทั้งภาพทั้งชื่อให้แลเห็นชัดเจนว่าใครเป็นใครอยู่ในลำดับหรือสายงานตรงไหน  ใครไปใครมาสามารถมาดูผังแล้วรู้แจ้งเห็นจริง  ไม่โดนหลอกลวงหรือเข้าใจผิดหรือคิดคาดเดาเอาเอง

            “ผังบุคคล”นี้จะช่วยมากในเรื่องการประสานงาน  ไม่ว่าจะเป็นคนนอกหรือลูกค้าที่มาติดต่องาน  คนเข้าใหม่  คนต่างฝ่ายต่างแผนก มายืนตรงหน้า”ผังบุคคล” นี้เมื่อไหร่  สามารถรู้ได้ว่า เรื่องนั้นเรื่องนี้ใครรับผิดชอบ ควรจะติดต่อกับผู้ใด  ถามหาบุคคลนั้นได้เลย  ไม่ใช่เริ่มแบบงมเข็มในมหาสมุทร ด้วยคำถามว่า “เรื่องนี้ผมต้องติดต่อกับใครครับ”

            ข้อสำคัญคือรูปที่นำมาติดผังขอให้เป็นรูปปัจจุบันทันสมัยใกล้กับตัวจริงด้วยนะครับ  ไม่ใช่รูปถ่ายครั้งสมัยเรียนจบใหม่ ๆ หรือเพิ่งเข้าทำงาน   ไม่ใช่ดูรูปแล้วเดินหาเท่าไหร่ก็ไม่เห็นผู้ที่เหมือนในรูป  รูปภาพควรปรับเปลี่ยนทุกปีเพราะคนเราสังขารรูปลักษณ์เปลี่ยนไปตามกาลเวลาหาเสถียรภาพไม่  ทางที่ดีใช้กล้องของหน่วยงานจัดการให้  อย่าให้หามาเอง  ไม่งั้นอาจได้ภาพพระเอกนางเอก  ทั้ง ๆ ที่ตัวจริงกลายเป็นพี่ป้าน้าอาไปหมดแล้ว……ฮ่า

            ใครที่เป็น HR อ่านเจอเรื่องนี้เข้า  หากฝ่ายต่าง ๆ ของบริษัทไม่มีการจัดทำ “ผังบุคคล”  ลองทำเรื่องเสนอจัดทำให้ดูซีครับ  ไม่แน่นะเจ้านายอาจจะชมว่า ความคิดริเริ่มดี ทั้ง ๆ ที่เรื่องอย่างนี้ก็มีการทำกันอย่างกว้างขวางในหลายองค์การ

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ