คุณยศศิริ มิตรไพบูลย์ กล่าวว่า ประเด็นในไทยที่ต้องจับตาในสัปดาห์นี้ ก็คือ การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินในวันที่ 11 มีนาคม ว่ากนง.จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงหรือไม่ ทางด้าน ธ.กรุงเทพ เผยว่า การลดดอกเบี้ยไม่ใช่ทางออกสุดท้าย
ในวันศุกร์ที่ผ่านมา นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า กรณีที่หลายฝ่ายออกมาเรียกร้องให้กนง. พิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและแก้ไขปัญหาเงินบาทที่แข็งค่า ยืนยันว่าไม่ใช่การแก้ไขปัญหาที่ตรงจุด เพราะปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 2% อยู่ในระดับต่ำมาก สาเหตุที่ประชาชนไม่มีการบริโภคเนื่องจากประชาชนมีภาระหนี้สูง ประกอบกับราคาสินค้าเกษตรปรับลดลงมาก
นายกอบศักดิ์ กล่าวอีกว่า ขณะเดียวกันค่าเงินบาทที่ปรับตัวแข็งค่าเป็นผลมาจากรายจ่ายในเรื่องของราคาน้ำมันปรับลดลง จาก 1 ล้านล้านบาทต่อปี เหลือเพียง 5 แสนล้านบาทต่อปี เพราะราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับลดลงมากถึง 50% ส่งผลให้มีเงินสำรองอยู่ในระบบค่อนข้างมาก ดังนั้นการแก้ปัญหาโดยการลดดอกเบี้ยอาจไม่ใช่แนวทางที่ถูกต้อง สำหรับด้านการลงทุน สาเหตุที่นักลงทุนยังชะลอการลงทุน เนื่องจากต้องรอความชัดเจนจากภาครัฐ เพราะปัจจุบันยังไม่มีแผนการลงทุนที่ชัดเจน ดังนั้นการลดอัตราดอกเบี้ยจึงไม่ใช่คำตอบสุดท้ายที่จะทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าและทำให้เศรษฐกิจเติบโตแบบก้าวกระโดด
คุณยศศิริ กล่าวว่า สำหรับตลาดหุ้นไทยในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา หุ้นไทยตกลงมาจาก 1,620 จุด ตกลงมาค่อนข้างแรงประมาณ 70 จุด นักวิเคราะห์ต่างชาติมองว่าตลาดหุ้นไทยไม่น่าสนใจแล้ว เนื่องจากเศรษฐกิจไทยซบเซา มีการขยายตัวในเชิงลบ ผลประกอบการของบริษัทที่จดทะเบียนก็ค่อนข้างแย่ ในมุมของต่างชาติก็ยังมีการขายอย่างต่อเนื่อง ส่วนนักลงทุนสถาบันและ prop trade ก็ขายต่อเนื่องเช่นกัน แต่ในสัปดาห์ที่แล้วนักลงทุนต่างชาติกลับเข้ามาซื้อสุทธิอย่างต่อเนื่อง
สำหรับการประชุมของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ก็ได้มาการเน้นย้ำเรื่องการขยายมาตรการ QE และออกไปซื้อพันธบัตรของรัฐสมาชิกและตอนนี้ก็เป็น QE อย่างเต็มรูปแบบแล้ว ซึ่งมูลค่ารวมของการซื้ออยู่ที่ 60,000 ล้านยูโรต่อเดือน รวมระหว่างการซื้อพันธบัตรรัฐบาลและบอนด์เอกชน และอาจจะซื้อทะลุไปถึงปี 2016 ซึ่งรอยเตอร์ได้ไปสำรวจความเห็นของนักวิเคราะห์ได้มองว่า ตลาดครึ่งหนึ่งไม่เชื่อว่าจะทำสำเร็จ คงต้องขยายเวลา QE เพื่อให้อัตราเงินเฟ้อเข้าเป้าของ ECB