เห็นหัวเรื่องแล้วอย่านึกว่าเป็นเรื่องสั้นหรือเรื่องยาวประเภทนวนิยายเริงรมณ์นะครับ เพราะเรื่องพรรค์อย่างนั้นผมเขียนไม่ได้หรอก เคยพยายามแล้วแต่ไม่กล้าให้ใครอ่าน ตัวเองยังอ่านได้แค่เที่ยวเดียวแล้วขยำทิ้งเลย มือไม่ถึงจริงๆ ที่เขียนอยู่ก็เป็นประเภทสาระคดีที่ยังไม่เกิดคดีแบบที่ท่านเคยอ่านมาเท่านั้น เรื่องนี้ก็เหมือนกันตั้งชื่อเรื่องให้หวือหวาไปอย่างนั้นแหละ แต่เนื้อหาไม่เปลี่ยนแนวแต่อย่างใด….ฮ่า
เรื่องของเรื่องคือผมถูกจ้าง เอ๊ย…เชิญโดยบริษัทหรือองค์กรต่างๆ อยู่บ่อย ๆ ให้ไปพูดให้พนักงานเกิดความรักและผูกพันกับสถาบันที่ตนทำงานด้วย จึงอยากจะนำแนวการพูดนี้มาเผยแพร่ เผื่อคนที่ไม่เคยมีความรู้สึกใด ๆ กับองค์กร ทำงานแลกค่าจ้างไปวัน ๆ มาอ่านพบเข้า จะได้เข้าใจและทำตัวให้มีค่าขึ้น เพราะความรู้สึกเช่นนี้หากเกิดกับผู้ใดแล้ว จะทำให้ผู้นั้นปฏิบัติตนเป็นประโยชน์ต่อองค์กรมากขึ้น ส่งผลให้กลายเป็นผู้มีคุณค่าต่อบริษัท หมายถึงความก้าวหน้าในการทำงานที่จะตามมานั่นเอง
บางคนอาจจะคิดผิดถ้าคิดว่าการที่เราทำงานที่ใดก็ตามเป็นเพียงธุรกิจแลกเปลี่ยน เมื่อเราทำงานให้เขา เขาก็ต้องจ่ายเงินเดียวให้เรา ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น ทำไมเราจะต้องไปผูกพันต้องรักหรือจงรักภักดีต่อองค์กร จ่ายมาก็ทำให้ ยุติธรรมต่อทั้งสองฝ่ายอยู่แล้ว จะเอาอะไรกันอีกล๊ะ ถ้าคิดแบบนี้กรุณาอ่านเรื่องที่ผมเขียนนี่ให้จบนะครับ ความคิดจะได้เปลี่ยนความประพฤติจะได้ดีขึ้น กลายเป็นพนักงานที่น่ารักในสายตาของใครต่อใครโดยเฉพาะเจ้านาย …..แฮ่
ผมในฐานะที่ทำงานมานาน จนบัดนี้อายุเลยเกษียนแล้วแต่ก็ยังทำงานอยู่ เรียกว่าเป็นคนประสบการณ์เพียบ อยากจะบอกกับคนที่เพิ่งเริ่มทำงานหรือกำลังทำอยู่ให้เข้าใจและรู้ว่าอะไรเป็นอะไร จะได้ประพฤติตนได้ถูกต้อง
ผมอยากจะบอกว่า องค์กรหรือบริษัทที่เราทำงานด้วยว่าไปแล้วเหมือนกับพ่อแม่ เป็นสถาบันที่ให้”ชีวิตงาน”กับเรา ถ้าเขาไม่ให้โอกาสเราทำงานกับเขา เราก็ไม่มีชีวิตงานเป็นคนตกงานเหมือนคนไม่มีค่า แม้มีลมหายใจแต่อาจไม่อยากหายใจก็ได้ จะเห็นได้จากคนที่ผิดหวังตกงานนาน ๆ เข้าอาจถึงขั้นฆ่าตัวตาย ตัวอย่างให้สลดสมเพชก็มีให้ได้เห็นอยู่ การที่บริษัทจ้างเราทำงานจึงเท่ากับทำให้เรารู้สึกว่าชีวิตเรามีคุณค่า
เมื่อปี พ.ศ.๒๕๔๓ มีละครดังทางโทรทัศน์เรื่องหนึ่งชื่อ”ลูกไม้ไกลต้น” นำแสดงโดยดารายอดนิยมคือ“กบ”สุวนันท์ คงยิ่ง กับ แอนดรู เกร๊กสัน เนื้อเรื่องมีว่า พระเอกโกรธแม่ของตนเองที่เลิกกับพ่อแล้ว แต่ยังมาวนเวียนรบกวนหลอกเอาเงินไปปรนเปรอสามีใหม่ แต่นางเอกซึ่งพ่อไม่ยอมรับว่าเป็นลูกกลับชี้แนะต่อพระเอกว่า ไม่ควรโกรธแม่ เพราะแค่เป็นผู้ให้เรามีชีวิตขึ้นมาก็เป็นพระคุณที่สุดแล้ว เป็นอย่างไรครับ พูดจาสมกับเป็นนางเอกไหมครับ ผมว่าถ้าพนักงานมีความคิดต่อบริษัทในแนวนี้น่าจะถูกต้อง “ไม่มีเขาไม่มีเรา”
ละครเรื่องนี้ต่อมาในต้นปี ๒๕๔๖ ไปดังมากในกัมพูชา ถึงขนาดถูกห้ามเผยแพร่ โดยนางเอกถูกใส่ความว่าไปพูดอะไรที่ไม่เข้าหูคนเขมร ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้พูดสักหน่อย เป็นกรรมโดยไม่ได้ก่อเวร น่าเห็นใจจริง ๆ
คนเราจะเก่งแค่ไหนถ้าขาดโอกาสความเก่งนั้นก็ไม่ได้แสดงออกไม่มีใครได้สัมผัส เพราะฉะนั้นองค์กรที่รับเราเข้าทำงานจึงเป็นสถาบันที่เราต้องรำลึกถึงบุญคุณ ผมเวลาไปไหนมาไหนแล้วได้ยินเสียงใครต่อใครชี้ชวนกันดูว่า “นั่นไง สอนราม” ผมก็จะนึกเสมอว่านี่เป็นเพราะมหาวิทยาลัยรามคำแหงให้โอกาสผม เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ จริงไหมครับ บางคนอาจจะบอกว่าอาจารย์ก็น่าจะผูกพันกับรามคำแหงเพราะว่าทำงานอยู่ตั้งเกือบ ๓๐ ปี ส่วนผมอาจจะอยู่ที่นั่น ๒ ปี ที่นี่ ๓ ปี บางที่ไม่ถึงปีจะผูกพันอะไรกันมากมาย
ถึงจะกี่ปีหรือไม่ถึงปีแต่ละที่ก็มีบุญคุณทั้งนั้นแหละครับ เพราะอยู่ที่ไหนก็ได้ทั้งเงินและประสบการณ์ได้เรียนรู้อะไรต่อมิอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเรา ที่สำคัญคือทำให้มีรายได้เลี้ยงตัวเองหรือบางทีเผื่อแผ่ไปเลี้ยงคนอื่นด้วย ทำให้เรารู้ว่าเรามีคุณค่าจนเขาจ่ายค่าจ้างให้ แม้ว่าภายหลังเราอาจจะออกจากที่นั่น แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่าที่นั่นทำให้เรามีค่าอยู่ระยะหนึ่ง เพราะฉะนั้นต้องยอมรับครับว่ามีพระคุณ แถมยังเอาประสบการณ์ที่นั่นไปอ้างอิงได้อีก เวลาไปสมัครงานที่อื่น เว้นแต่ไปเผลอทำอะไรไม่งามไว้ อย่างนั้นก็คงต้องปิดเป็นความลับไม่บอกใคร แต่ถึงอย่างไรก็ได้ประสบการณ์ไปว่า ทีหลังอย่าทำ…..ฮ่า
นอกจากให้รายได้ให้ประสบการณ์แล้ว องค์กรหรือบริษัทที่เราทำงานยังให้”สังคม”กับเราด้วย คนเราไปทำงานที่ไหนก็ต้องมีเพื่อนร่วมงาน กลายเป็นพี่เป็นน้องเป็นญาตินอกไส้ ได้ความรักความอบอุ่นทำให้เรามีชีวิตชีวา งานแต่งงานหรืองานมงคลหรือแม้งานอัปมงคล ก็ได้คนจากที่ทำงานนี่แหละมาประดับทำให้เรากลายเป็นซัมบอดี้ไม่ใช่โนบอดี้ แล้วอย่างนี้ไม่คิดว่าองค์กรมีบุญคุณกับเราได้อย่างไร คิดเป็นอย่างอื่นได้ก็ต้องถามว่าหัวใจคุณทำด้วยอะไรกันแล้วละครับ
เมื่อเราสำนึกว่าองค์กรมีบุญคุณกับเรา เรารักบริษัทก็ควรแสดงออก ไม่ใช่ปากบอกว่ารักแต่การกระทำกลายเป็นตรงกันข้าม คนเรารักก็ต้องทำให้รู้ว่ารัก เขาจะได้รักเราตอบด้วยไงละครับ จะว่าหว่านพืชก็ต้องหวังผล ไม่ต้องกลัวคนกล่าวหาว่าทำอะไรเพื่อหวังสิ่งตอบแทน ดูเป็นคนเห็นแก่ประโยชน์ ใครจะนินทาอย่างไรก็ช่างเถอะ มีใครเล่าครับที่ไม่เห็นแก่ได้ มีแต่คนที่ปากบอกว่าไม่เห็นแก่ได้แต่ถ้าไม่ได้ก็ไม่เห็นอะไรเสียละมาก ถ้าเราเห็นแก่ได้แต่เป็นสิ่งที่เราสมควรได้ ก็ไม่น่าจะผิดกติกาอะไร จริงไหมครับ
การแสดงออกถึงความรักอย่างแน่ ๆ คือต้องตั้งใจทำงานให้ความร่วมมือในการทำงาน ไม่ใช่ปากว่ารักแต่ลาหยุดบ่อย ปวดหัวตัวร้อนนิด ๆ หน่อย ๆ ก็ลาหยุดแล้ว ยามบริษัทกำลังเร่งผลผลิตดันลาพักร้อนอ้างว่าเป็นสิทธิ อะไรอย่างนี้ บริษัทขออาสาสมัครไปทำงานนอกสถานที่ในบางโอกาส ถ้าไปได้แม้จะลำบากกว่าปกติไปบ้างก็ควรอาสา เพราะนี่เป็นการแสดงออกที่สัมผัสได้ว่ารักบริษัทจริง ๆ ไม่ใช่แค่ลมปาก
ความรักที่แตะต้องได้อีกอย่างหนึ่งคือ ทำงานที่ไหนต้องไม่นินทาว่าร้ายหรือพูดถึงในทางไม่ดี บางคนเหมือนคนไม่มีความคิดชอบบ่นว่าร้ายบริษัทที่ตัวเองทำงานอยู่ให้คนภายนอกฟังโดยคิดไปว่าเป็นการปรับทุกข์
ระวังนะครับคนฟังเขาอาจจะถามได้ว่าบริษัทแย่มากๆ อย่างเธอว่าแล้วทนอยู่ทำไม มิต้องตอบว่า“ที่ทนอยู่เพราะไม่มีที่ไป” หรือ แล้วตอบแบบนี้ลองคิดดูซีว่า คนได้ยินคำตอบเขาจะเห็นค่าของเราสูงขึ้นหรือต่ำลง เข้าทำนองยิ่งกว่าหยิกเล็บแต่เจ็บเนื้อเสียอีก
ถึงจะลาออกจากบริษัทไหนด้วยเหตุผลในทางร้ายอย่างไรก็แล้วแต่ ก็ไม่ควรไปแฉโพยโพทนาอย่างเก่งโดนใครซักก็น่าจะแค่”มีปัญหานิดหน่อย” ไม่ใช่แฉหมดเปลือก เพราะหากผู้คนที่บริษัทใหม่ที่เราเข้าไปทำงานได้ยินเราปากลำโพงอย่างนั้น เป็นไปได้ไหมที่เขาอาจจะคิดว่าอีกหน่อยถ้าไม่พอใจที่นี่ก็คงแฉแบบนี้แหละ ทำให้ไม่ได้รับความไว้วางใจเท่าที่ควรแต่กลับเป็นความหวาดระแวงแทน จะพูดในทางร้ายเมื่อไหร่ขอให้ฉุกคิดบ้างเดี๋ยวจะว่าไม่มีใครเตือน ผมเตือนแล้วนะครับ แต่ไม่ทราบว่าคุณจะฟังหรือเปล่า
เมี่อรักก็ต้องเอาใจใส่ เหมือนเรารักคู่รักละครับก็ต้องสนใจเขา เขาชอบอะไรอยากได้อะไรมีรสนิยมอย่างไรก็ต้องพยายามศึกษา เมื่อรักบริษัทก็ต้องสนใจประวัติความเป็นมานโยบายหรือความที่บริษัทจะเป็นไปพยายามปรับตัวให้เข้ากับแผนพัฒนาบริษัท ไม่ใช่ไปไหนมาไหนใครถามถึงบริษัทตอบได้แต่”ไม่รู้” เช่น
“เออนี่ ได้ข่าวว่าบริษัทคุณจะออกสินค้าตัวใหม่หรือ”
“ไม่รู้ซี ฉันทำงานฝ่ายบัญชีไม่ได้อยู่ฝ่ายการตลาด คุณไปรู้มาจากไหนหรือ” เป็นอย่างนั้นไป อย่างนี้จะบอกว่ารักบริษัทไม่ได้หรอกครับ มีอย่างที่ไหนรักแต่ไม่เคยสนใจเลยว่าจะเป็นอะไรจะมีอะไร
ใครที่กำลังเกลียดบริษัทอ่านข้อเขียนนี้แล้ว พอจะเปลี่ยนความรู้สึกได้บ้างไหมครับ ถ้าไม่ได้ก็คงต้องบอกว่า ตัวใครตัวมันละครับ ขอให้มีชีวิต(งาน)รอดปลอดภัยนะครับ