ความมุ่งมั่น โดย อ.สุขุม  นวลสกุล

อ.สุขุม นวลสกุล

แต่นั่นแหละครับ ใครที่เป็นคนที่มีความมุ่งมั่น ย่อมเป็นคนที่ได้รับการสรรเสริญหรือยกย่อง ถ้าเป็นพนักงานของบริษัทก็ต้องนับเป็นบุคลากรที่มีคุณค่า ควรแก่การบรรจุเข้าเป็นพนักงานหรือมอบหมายให้ทำงาน

“คนเราจะทำอะไรให้สำเร็จได้ต้องมีความมุ่งมั่น”   คำพูดประโยคนี้ผมใช้เสมอในการบรรยายเวลาเป็นวิทยากรในการอบรมสัมมนาพัฒนาบุคคลากร  ซึ่งก็เชื่อว่าผู้ฟังทุกคนรวมทั้งผู้อ่านด้วยคงเข้าใจความหมายเป็นอย่างดี

ทบทวนสักนิดก็ได้ คือ หมายถึงการตั้งใจจะทำอะไรแล้วต้องทำให้ได้   จะไม่ได้ก็ต่อเมื่อมีอุปสรรคหรือขวากหนามที่ไม่สามารถขจัดหรือข้ามพ้นได้มาขวางกั้น

ตัวอย่างเช่น  นัดหมายอะไรไว้กับใคร  ไม่ว่าฝนจะตกฟ้าจะร้องน้ำจะท่วมแต่ยังพอลุยได้  ก็ต้องบากบั่นไปจนพบกับผู้ที่นัดไว้จนได้   ยกเว้นแต่ตื่นขึ้นมาแล้วท้องเสียอย่างแรง จู๊ดๆๆ ต้องเข้าห้องส้วมตลอดเวลา  แบบนี้ก็คงมุ่งมั่นไม่ไหว  แต่ก็มีเหมือนกันนะครับ  แม้อาการน่าเป็นห่วงก็ยังมุ่งมั่นอยู่กินยาอุดยาธาตุดั้นด้นออกไปตามนัดจนได้

อย่างไรก็ตามในกรณีที่ไปไม่ได้จริง ๆ  ต้องขวนขวายหาทางแจ้งให้ผู้ที่นัดหมายทราบให้ได้ถึงการที่ไม่สามารถทำตามความมุ่งมั่นนั้น  อย่าให้เขารอเก้อแล้วไปอธิบายทีหลัง  เพราะจะเป็นการแก้ตัวเสียเครดิตความน่าเชื่อถือไป  ไปไม่ได้แต่แจ้งให้ผู้นัดหมายทราบไม่รอเก้อถือว่ามีความรับผิดชอบ  ยังนัดหมายกันใหม่ได้

                อยากสนทนากับใครสักคนหนึ่ง  พยายามต่อโทรศัพท์ไปหาเขา  ไม่เจอตอนเช้าก็โทรใหม่ตอนสาย  ไม่เจออีกก็โทรใหม่ตอนเที่ยง  ตอนบ่ายตอนเย็นตอนค่ำกว่าจะเจอก็ล่วงเข้าตอนดึก  อย่างนี้ก็ควรเรียกได้ว่ามีความมุ่งมั่น

อยากทำอะไรให้เป็น เช่น หัดขี่จักรยาน  พยายามฝึกแล้วฝึกอีก ล้มลุกคลุกคลานได้แผลกี่แผลก็แล้วแต่  พยายามอยู่นั่นแหละ  ไม่ยอมท้อถอย  ใครเห็นเข้าเขาก็ต้องบอกว่ามีความมุ่งมั่น

ความมุ่งมั่นนี่ไม่ใช่สิ่งพิสูจน์ว่า “ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น” นะครับ   เพราะบางเรื่องแม้จะมีความมุ่งมั่นแล้วก็อาจจะไม่พบความสำเร็จที่ต้องการก็ได้

เหมือนอย่างผู้ชายคนหนึ่งไปหลงรักผู้หญิงคนหนึ่ง  แต่ผู้หญิงคนนั้นรักอยู่กับผู้ชายอีกคนหนึ่ง  อีแบบนี้ถึงจะมีความมุ่งมั่นสักเพียงใด  ก็อาจไม่สมปรารถนาอาจจะเป็นน่าสมเพชเวทนาไปก็ได้   แต่เรื่องอย่างนี้ไม่แน่เหมือนกันนะครับ  เพราะผู้มุ่งมั่นบางคนอ้างว่า  “แต่งแล้วยังหย่าได้นี่นา”…….แฮ่

หรือร่างกายเราเกิดพิกลพิการขึ้นมา  หมอทางวิทยาศาสตร์ยืนยันว่าไม่มีวันกลับคืนสู่ภาวะปกติได้  แม้เราจะเวียนไปหาหมอไสยศาสตร์หรือหมอผีที่ไหน  มุ่งมั่นอย่างไรก็อาจจะคืนสภาพไม่ได้  แต่ถ้ามุ่งมั่นไปทางอื่น เช่น คืนสภาพไม่ได้ก็หันไปสร้างสมรรถภาพแทนก็อาจพบความสำเร็จได้    ดูตัวอย่างนักกีฬาพาราโอลิมปิคซี  ได้เหรียญมามากกว่านักกีฬาอวัยวะครบเสียอีก

แต่นั่นแหละครับ  ใครที่เป็นคนที่มีความมุ่งมั่น ย่อมเป็นคนที่ได้รับการสรรเสริญหรือยกย่อง  ถ้าเป็นพนักงานของบริษัทก็ต้องนับเป็นบุคลากรที่มีคุณค่า  ควรแก่การบรรจุเข้าเป็นพนักงานหรือมอบหมายให้ทำงาน

อย่างไรก็ตาม  มักจะมีผู้เข้าร่วมสัมมนาซักถามว่า  ทำหรือปฏิบัติอย่างไรจึงจะทำให้คนมองเราเป็นผู้มีความมุ่งมั่น  เพราะดูไปแล้วเป็นคุณสมบัติที่ดีที่คนที่หวังความก้าวหน้าในชีวิตอยากมี หรืออย่างน้อยก็ให้คนอื่นเห็นว่าตนเองมี

ผมบอกเขาว่า  เอาอย่างนี้ซีครับ  สมมุติว่าเจ้านายเขามอบหมายอะไรให้เราทำ  เราก็พยายามทำให้สำเร็จโดยเร็ว  แล้วรีบนำไปส่ง  ยิ่งถ้าส่งได้เร็วกว่าที่เจ้านายกำหนดไว้ได้ยิ่งดี  แบบนี้ละก็เจ้านายเขาต้องเห็นว่าเราเป็นคนมีความมุ่งมั่นหรืออย่างน้อยต้องเห็นว่าเป็นคนขยัน   จริงไหมครับ

บางคนบอกว่า แล้วถ้าทำไม่เสร็จหรือไม่สำเร็จละครับ  ถ้าแบบหลังนี่ก็คงต้องรีบรายงานถึงปัญหาและอุปสรรคให้เจ้านายทราบ  ไม่ใช่รอให้ถามโดยหวังว่าเจ้านายอาจลืมก็ได้   ถ้าแสดงให้เจ้านายเห็นว่าเราเอาใจใส่และพยายามทำเต็มที่ก็คงเห็นแววความมุ่งมั่นของเรา

แต่นั่นแหละต้องระวังไว้บ้าง เพราะท่านอาจจะเห็นเราเป็นคนด้อยสมรรถภาพไปด้วย  เพราะการที่ท่านมอบหมายให้นั่นก็คงเห็นแล้วว่าเราน่าจะทำได้  เมื่อทำไม่ได้ก็เลยดูประสิทธิภาพต่ำกว่าความคาดหมาย  อย่างไรควรพยายามดิ้นรนทำให้ได้จะงามกับตัวเรามากกว่านะ จะบอกให้   ทำเองไม่ได้ก็ลองปรึกษามิตรสหายในที่ทำงานดูบ้าง  เผื่อว่ามีใครจะอนุเคราะห์กู้หน้าให้เราได้บ้าง

ผมพยายามเพิ่มเติมรายละเอียดของพฤติกรรมของคนที่มีความมุ่งมั่นในลักษณะสัมผัสได้ให้ผู้เข้าร่วมสัมมนาพิจารณา  เผื่อว่าเขาจะเอาไปปฏิรูปตนเองให้กลายเป็นบุคลากรที่มีคุณค่า  คนอยากในทางที่ดีนี่เราควรสนับสนุนชี้ช่องทางให้เขา  พยายามยกสิ่งที่เป็นรูปธรรมให้มากกว่านามธรรม  เพราะง่ายแก่การปฏิบัติตาม

สิ่งที่ผมเห็นว่าเป็น”ความมุ่งมั่น”ที่สัมผัสได้อีกวิธีปฏิบัติหนึ่งคือการเป็นคน”ตรงเวลา”

ปัจจุบันนี้ต้องยอมรับว่า เรื่องไม่ตรงเวลานี่กลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาของคนหลายคน  การนัดหมายจะทำอะไรร่วมกัน เช่น การประชุม   มักจะต้องช้ากว่ากำหนดเสมอเพราะต้องรอคนนั้นรอคนนี้   บางครั้งที่แย่เอามาก ๆ  คือต้องรอคนที่เป็นประธานมาเปิดงาน    คนสำคัญบางคนไม่ยอมเข้าใจความสำคัญของตนเองก็มี

ผมเป็นวิทยากรบรรยายตามที่ต่าง ๆ   มักจะไม่ได้เริ่มบรรยายตามกำหนด  ส่วนใหญ่มักจะล่ากว่าเวลาที่กำหนดไว้  นาน ๆ ครั้งจึงจะได้เริ่มตรงเวลา  ซึ่งครั้งไหนได้เริ่มตามอุดมฤกษ์นี้ผมก็จะต้องกล่าวชมผู้เข้าร่วมสัมมนาทุกครั้ง  เพื่อให้เขารู้สึกว่าทำดีมีคนเห็นจะได้มีกำลังใจทำดีต่อไป

ข้ออ้างที่มาสายนั้นมีได้ร้อยแปดพันเก้าละครับ ถ้าจะอ้างกัน  “รถติด”   “ติดลูกค้า”  “มีเรื่องด่วน”    แต่รู้สึกว่าเรื่องที่อ้างกันบ่อยมากคือ “รถติด”

ครั้งหนึ่งผมเคยนัดหมายเพื่อนที่ทำงานแถวศาลาแดงไว้ที่ดุสิตธานี  เพราะเห็นว่าจะได้สะดวกแก่เขา   ผมสู้อุตส่าห์ถ่อมาจากหัวหมากปรากฏว่า เขายังมาสายจากเวลาเกือบครึ่งชั่วโมง   พอผมต่อว่าเขาก็แก้ตัวว่า”รถติด”    พอผมซักไซร้ว่า “อะไรแค่นี้ต้องเอารถมาด้วยหรือ”    เขากลับตอบหน้าตาเฉยว่า  “เปล่า  ผมคิดว่าคุณคงรถติดก็เลยมาสายหน่อย”  เป็นยังงั้นไป

คนเราถ้าเป็นคนมุ่งมั่นนี่ต้องตรงเวลาครับ  คนเขาถึงจะสัมผัสความมุ่งมั่นของเราได้

อีกเรื่องหนึ่งที่จะทำให้เราเป็นคนมุ่งมั่นคือ” การสละเงื่อนไขส่วนตัวเพื่อส่วนรวม”

คนเรานั้นมีเงื่อนไขส่วนตัวหรือพูดให้กว้างขวางขึ้นว่าเฉพาะตัวมากมาย  ถ้าเรายึดมั่นในเรื่องเฉพาะตัวมากเกินไป  งานของส่วนรวมก็เป็นไปได้ยาก

เช่น   หัวหน้าเรียกประชุมพนักงานตอนเช้า   บางคนบอกว่า คงไม่ได้หรอก เพราะฉันมีนัดกับลูกค้าบ้าง  นัดกับหมอบ้าง ต้องไปติดต่อราชการบ้าง   อย่างนี้ก็ประชุมตอนเช้าไม่ได้  จริงไหมครับ  ยกเว้นแต่จะปล่อยให้พวกที่มีธุระขาดประชุม ยอมประชุมโดยไม่พร้อมหน้าพร้อมตา

พอหัวหน้าเลื่อนไปประชุมบ่าย   พวกมีธุระเช้าก็ยิ้มแย้มแจ่มใส  แต่อาจมีบางคนที่มีธุระบ่ายหน้านิ่วคิ้วขมวดขึ้นมา  อ้างกิจของตัวขึ้นมาบ้าง  พอหัวหน้าเออออยอมเลื่อนอีก   นัดประชุมกันตอนเย็น  ตอนนี้พวกมีความจำเป็นต้องไปรับลูกตอนเย็นยกมือประท้วงกันสลอน  จนหัวหน้าต้องยอมประกาศ  “ถ้าอย่างนั้น ตัวใครตัวมันก็แล้วกัน”

นี่แหละครับ   ถ้าแต่ละคนมีเงื่อนไขส่วนตัวแล้วไม่ยอมเสียสละ  เงื่อนไขส่วนรวมจะร่วมปฏิบัติกันได้อย่างไร   การประชุมโดยพร้อมหน้าพร้อมตาและพร้อมพนักงานของบริษัท  คงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้   ทำให้ดูเป็นพนักงานไม่มีความมุ่งมั่นไป  แค่จะเรียกประชุมให้พร้อมคนยังทำไม่ได้เลย

ถ้าพนักงานเป็นคนมุ่งมั่นนะครับ   พอหัวหน้านัดประชุมตอนเช้าหรือตอนบ่าย  ใครมีกิจธุระตอนนั้นก็ต้องโทรไปบอกเลิกนัดหรือเลื่อนนัด  โดยให้เหตุผลตรง ๆ ว่าติดประชุมนี่แหละครับ  เช่น  “คุณแดงหรือครับ  ขอเลื่อนไปบ่ายนะครับ  เช้าต้องเข้าประชุมด่วนครับ  ไม่แน่นะครับ อาจจะมีอะไรเป็นประโยชน์แก่ลูกค้าอย่างคุณก็ได้ บ่ายสองค่อยเจอกันนะครับ”   ประโยคหลังนี่อาจหยอดให้คนที่เราเลื่อนนัดมีกำลังใจหน่อย

หรือถ้าหัวหน้านัดตอนเย็น  ก็อาจจะโทรศัพท์ไหว้วานญาติพี่น้องหรือคู่ชีวิตไปรับแทน  หรือถ้าลูกมีโทรศัพท์มือถือก็อาจโทรไปบอก  “ไปรับสายหน่อยนะวันนี้   เล่นอยู่แถวโรงเรียนนั่นแหละ  อย่าเผลอไปแถวบ้านพักครูละ(…แฮ่)  ยังไงก็คงไม่เกินทุ่ม”

ต้องอย่างนี้สิครับ   ถึงจะดูเป็นคนมุ่งมั่น    ไม่ใช่คิดจะเป็นคนมุ่งมั่นแต่ไม่เคยยอมสละเงื่อนไขส่วนตัวเพื่อเข้าสู่เงื่อนไขส่วนรวมเลย   บางคนอาจจะแย้งว่า อย่างนี้ก็น่าจะเรียกว่ามุ่งมั่นเหมือนกันแต่เป็นการมุ่งมั่นในเรื่องส่วนตัว  ซึ่งความเห็นนี่ผมไม่สู้จะเห็นด้วยนัก   ผมว่าน่าจะเรียกว่าเป็น”หมกมุ่น”มากกว่า

“หมกมุ่น”นี่เป็นลักษณะเสียหายนะครับ  ไม่ดีงามเหมือน”มุ่งมั่น”หรอก….จะบอกให้

 

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ