ขณะที่ผมเขียนบทความนี้เป็นวันหยุด ผมได้พาลูกๆไปทานร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อวัวแถวสะพาน 2 ใกล้ๆโชคชัย 4 เขาถามผมว่าผมรู้จักร้านนี้ได้ไง. ผมเล่าว่าผมรู้จักร้านนี้และทานมาเกือบ 30 ปี. นอกจากนั้น. ผมเองเคยคุยกับเจ้าของร้านพร้อมลูกๆทั้ง 4 คนของเขาด้วย. ลูกๆผมทั้งสองคนเซ้าซี้ให้ผมเล่าให้เขาฟังหน่อย. ผมอมยิ้มนึกถึงอดีตที่เกิดขึ้นเมื่อ 10 กว่าปีที่ผ่านมา.
ผมเริ่มเล่าว่า. ผมมานั่งทานร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อร้านนี้บ่อยมากเฉลี่ยสัปดาห์ละ 1-2 ครั้งจนคุ้นเคยกับเฮียเจ้าของร้านเป็นอย่างดี. ถ้าลูกค้าไม่เยอะแกชอบมานั่งโต๊ะผมแล้วเล่าด้วยความภูมิอกภูมิใจว่าแกเรียนน้อย. ความรู้ไม่สูง. ไปทำงานร้านก๋วยเตี๋ยวกับเถ้าแก่รายนึงในอดีต. ต่อมาเถ้าแก่คนนั้นตายแกเลยมาเปิดร้านก๋วยเตี๋ยวเอง. ด้วยความที่แกเป็นคนขยันทำมาหากิน. ขยันขันแข็ง. ทำอาหารอร่อยด้วยคุณภาพ. ไม่ยอมลดคุณภาพเด็ดขาด. สูตรน้ำข้นของแกต้องเข้มข้นหอมหวานอร่อยชื่นใจ. ขายราคาไม่แพงเพราะขายข้างๆตลาดสด. มีลูกค้ามาทานตั้งแต่คนขับสามล้อ. คนขับแท็กซี่. คนขับรถเมล์รวมถึงกระเป๋ารถเมล์ ไม่เว้นพวกเศรษฐีหรือมหาเศรษฐีที่ขับรถหรูๆทั้งหลาย. แกยิ้มให้ลูกค้าทุกคนทุกระดับพร้อมภรรยาของแก. ทำให้ลูกค้าทุกคนประทับอกประทับใจในรสชาติ คุณภาพ ความอร่อย ราคา สะอาด ไม่แพง บริการด้วยรอยยิ้ม. ร้านนี้จึงเป็นหนึ่งในร้านดังแถวตลาดสะพานสอง. ในยุคนั้น. แกมีลูกทั้งหมด 4 คน แกส่งเสียให้เรียนจบสูงๆทุกคน. สอบเอ็นทรานซ์ได้และไปเรียนจบปริญญาโทที่ต่างประเทศทุกคน. แกภูมิใจมากว่า. อาชีพขายก๋วยเตี๋ยวเนื้อริมถนนลาดพร้าวใกล้ตลาดจะสามารถส่งเสียให้ลูกๆเรียนจบเมืองนอกได้ทั้ง 4 คน เพราะรักลูกมาก. ไม่อยากให้ลูกแกลำบาก
อยู่มาวันนึง ผมมาทานเป็นประจำเช่นเดิม แต่เห็นแกซึมๆไป. ผมทักแกก่อนว่า “เฮีย ไม่สบายเป็นหวัดเหรอ. ดูวันนี้ซึมๆ”. แกส่ายหัวช้าๆ. ไม่ยิ้ม พร้อมทำสีหน้าเคร่งเครียด. ไม่เฉพาะผมนะที่แกไม่ยิ้ม. แกไม่ยิ้มกับลูกค้าทุกคนด้วย. ผมรู้สึกว่าผิดสังเกต. แต่เดาว่าแกคงไม่อยากเล่า. ผมก็นั่งทานก๋วยเตี๋ยวตามปกติ. เมื่อทานอิ่มแล้ว. ผมเดินไปสั่งก๋วยเตี๋ยวเนื้อเพิ่มอีก 2 ถุงเพื่อไปฝากคุณพ่อคุณแม่. เฮียแกหันมามองหน้าผมแล้วพูดกับผมว่า. ” รีบกลับไหม? มีอะไรจะปรึกษาหน่อย”พร้อมนัยตาซึมๆคล้ายๆจะร้องไห้. ผมรีบตอบว่า “ไม่รีบครับเฮีย”. แกให้ภรรยาทำต่อแล้วชวนผมไปนั่งโต๊ะหลังสุดของร้าน. แล้วร้องไห้ออกมา. แกบอกว่าแกเสียใจมากกับลูกๆทั้งสี่คนของแกที่มาดูถูกกิจการร้านก๋วยเตี๋ยวของแก. และไม่มีใครสืบทอดกิจการต่อจากแกเลย. แกไม่รู้จะทำอย่างไรดี. เพราะธุรกิจนี้คือชีวิต. คือครอบครัว คือทุกๆสิ่งที่แกสร้างมาด้วยความผูกพัน. แกถามผมว่า เอาไงดี. ผมนัดแกว่าสัปดาห์ถัดไปให้นัดลูกๆทุกคนมาที่ร้านนี้. แล้วผมจะคุยด้วย
อีกสัปดาห์หลังจากนั้น. ผมได้พบกับลูกๆทั้งสี่ของเฮีย. เรานั่งคุยกันทุกคนอย่างเปิดอกทุกคน. สรุปสาระสำคัญได้ว่า. ลูกๆทุกคนอายที่มีพ่อมีอาชีพขายก๋วยเตี๋ยวเนื้อริมถนนข้างๆตลาด. อายมากขนาดไม่อยากบอกเพื่อน. ไม่อยากบอกแฟน. ไม่อยากบอกเพื่อนร่วมงานหรือเจ้านายของตนเอง. ลูกๆยิ่งเล่าเฮียยิ่งร้องไห้. ลูกๆขอให้เฮียเข้าใจพวกเขาหน่อยว่าสังคมที่เขาอยู่นั้นทันสมัย. ทำงานในห้องแอร์. คุยติดต่อกับต่างประเทศ. เพื่อนฝูงร่ำรวย. เที่ยวผับดังๆกันทั้งนั้น. ผมถามต่อว่าอนาคตเขาจะเป็นลูกจ้างตลอดไปเหรอ. ทุกคนตอบว่าจะเป็นเจ้าของธุรกิจแต่กำลังนึกอยู่ว่าจะทำอะไรดี. ลูกๆยิ่งเล่าเฮียยิ่งหน้าจ๋อย. พอผมฟังจบ ผมนั่งหัวเราะเสียงดังเลย. ลูกๆทุกคนและเฮียเองก็แปลกใจว่าทำไมผมถึงหัวเราะจนเกือบตกเก้าอี้
ผมเริ่มเล่าว่า. คุณพ่อของพวกเราเรียนจบไม่สูงจึงทำได้แค่เปิดร้านขายข้างตลาดสดและส่งลูกๆเรียนต่างประเทศได้ 4 คน. แล้วพวกเราล่ะ. เรียนจบสูงขนาดนี้พวกเราเอาร้านของคุณพ่อเข้าห้างหรูๆขยายให้ได้หลายๆสาขาและส่งลูกๆให้เรียนจบสูงกว่าตนเองได้ไหม. เท่านั้นแหละครับลูกๆทุกคนเริ่มนั่งอึ้ง. ผมเล่าต่อว่าการศึกษาปริญญาโทที่พวกเราจบมานั้นสอนเรื่องกลุ่มลูกค้าใช่ไหม. ลูกค้าที่นี่กลุ่มคนขับรถแทกซี่สามล้อรถเมล์จนถึงขับรถเบนซ์วอลโว่และรถหรูๆอีกมาก. แถมรถที่ขับผ่านตรงนี้วันละหมื่นกว่าคัน. มากกว่าคนเดินในห้างเซ็นทรัลพลาซ่าด้วยซ้ำ. แสดงว่าทำเลที่นี่ดีมาก. ลูกๆไม่เคยวิเคราะห์กันบ้างเลยเหรอ. นี่แหละคือสมบัติที่พ่อให้ลูก. แต่ลูกๆมองไม่ออกว่านี่คือทรัพย์ที่มีมูลค่ามหาศาล. เพียงเท่านี้แหละครับ. ลูกๆทั้งสี่คนน้ำตาไหลออกมา. แล้วนั่งลงกราบที่ตักของเฮียแล้วร้องไห้บอกว่าขอโทษที่เขาคิดผิดมาตลอด. ทำให้พ่อเสียใจมาตลอด. เฮียและภรรยาก็กอดลูกด้วยความรักร้องไห้โฮเสียยกใหญ่. ผมมองด้วยความซาบซึ้งใจ. จากนั้นลูกๆก็เริ่มคุยว่าจะมารับสืบทอดกิจการต่อจากพ่อแล้วจะมาช่วยพ่อด้านนั้นด้านนี้. ผมเองก็ปล่อยให้ครอบครัวเขาคุยกัน. พอผมกำลังจะเดินห่างออกมา. ทั้งครอบครัวก็เดินมากอดผมขอบอกขอบคุณกันใหญ่. ผมก็บอกว่าดีแล้ว. ช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่ดีๆของครอบครัว. คุยกันเถอะ. แล้วผมก็กลับบ้านไปด้วยความตื้นตันใจ
สัปดาห์ถัดไป. ผมกลับไปทานร้านเดิมอีก. วันนี้เฮียหน้าสดในยิ้มแฉ่งมากๆด้วยความสุข. แกเจอหน้าผมแล้วบอกว่าขอบคุณผมมากที่ทำให้ลูกทั้งสี่กลับมารับธุรกิจของแก. ผมก็บอกว่า เพราะเฮียเลี้ยงลูกมาดีต่างหากล่ะ. ผมแค่มาเขี่ยผงออกจากตาของลูกๆเฮียเท่านั้นเองครับ. เฮียก็ไม่วายจับมือขอบอกขอบคุณผมเป็นการใหญ่. ถือเสมือนผมมีบุญคุณกับแก. วันนั้นผมจึงได้ก๋วยเตี๋ยวมาหลายห่อมาฝากคุณพ่อคุณแม่ผม. ด้วยความปลาบปลื้ม
ลูกผมทั้งสองคนนั่งฟังด้วยความสนอกสนใจเป็นอย่างยิ่ง. พอผมเล่าจบ. เขาพูดว่า คุณพ่อไม่ต้องห่วงนะลูกจะรับธุรกิจของคุณพ่อแน่นอน. ผมหัวเราะร่าดังด้วยความภูมิใจ. แต่สุดท้าย. ผมก็อดไม่ได้ที่ผมมีคุณแม่ที่ดีที่น่ารักที่มีเทคนิคสอนให้ผมรับธุรกิจด้วยความเต็มใจ. และสามารถถ่ายทอดธุรกิจนี้สู่รุ่นลูกผมได้ด้วยครับ
สรุปแล้ว. ผมทานก๋วยเตี๋ยวมื้อนี้ได้คุ้มจริงๆ มีคำถามเกี่ยวกับธุรกิจร้านอาหาร. ถามผมมาได้เลยนะครับ