ถ้าคุณไม่เชื่อพระเจ้า ก็ควรเชื่อเทคโนโลยี : ชีพธรรม คำวิเศษณ์

ชีพธรรม คำวิเศษณ์

วิธีการให้อยู่รอดในโลกของเทคโนโลยี จงเชื่อกับมัน เรียนรู้ไปกับมัน มีเทคโนโลยีที่ล้มเหลว และ มีเทคโนโลยีที่เกิดใหม่อยู่ตลอดเวลา แม้ว่าเราจะไม่ใช่ประเทศที่ผลิตเทคโนโลยีได้เหมือนประเทศอื่น

การนั่งสมาธิ ถึงจิตเข้าถึงความนิ่งก็จะได้ประโยชน์มหาศาลมากมายกับชีวิต ฝรั่งชื่นชอบไอเดียเล็กๆ แต่กลายเป็นยิ่งใหญ่ได้  เช่นเดียวกับ วลีสอนใจ หรือ Quote ในภาษาอังกฤษ

ข้อความเล็กๆ สั้นๆ แต่กระแทกเมื่ออ่านเข้าไปถึงก้นบึ้งหัวใจ ได้นำแรงบันดาลใจใหม่ๆ ที่ถูกซ่อนหลับไหลอยู่ในตัวของเราให้ตื่นขึ้นมาฉุกคิด และ ใช้เป็นแนวทางกับชีวิต ซึ่ง Quote เหล่านั้นมาจากผู้ผ่านชึวิตประสบการณ์มาก่อนทั้งล้มเหลวและประสบความสำเร็จ


หนังสือ  Tools Of Titan ผมเห็นครั้งแรกที่ร้านคินุคูนิยะที่สิงคโปร์ แต่วันนั้นไม่อยากหอบให้หนัก

มาซื้อที่เอเซียบุ๊คบ้านเราดีกว่าหรือซื้อผ่านแอพ Amazon Kindle  และในที่สุดปรากฏว่า ผมก็ได้มาครอบครอบหนึ่งเล่มจากเอเซียบุ๊ค ที่เซ็นทรัลเวสเกต

หนังสือเล่มนี้เขียนโดยมาก โดย Tim Ferris  เก่งหลายด้าน เป็นนักเขียน นักเต้นแทงโก้ พูดได้หลายภาษา นักว่ายน้ำ จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยพรินซ์ตันด้านเอเซียศึกษา

ตอนแรกผมไม่รู้หรอกว่าเขาทำอะไรได้บ้างแต่ในที่สุดก็รู้ว่า เขาไม่ใช่คนธรรมดาเลย หนังจากที่ชมเขาผ่าน Ted Talks ว่าด้วยเรื่องความกลัว

If you don’t believe in God, You Should believe in the technology that’s

going to make us immortal .

ถ้าคุณไม่เชื่อในพระเจ้า ก็ควรเชื่อในเทคโนโลยี ที่จะทำให้พวกเราเป็นอมตะ

 

Quote นี้เป็นของ  Youtuber ที่ประสบความสำเร็จคนหนึ่งมากที่สุดในโลก จากไอเดียของเขา

ได้ขายกิจการให้กับ Disney ไป 1 พันล้านเหรียญ

 

ผมไปสอนหนังสือที่หาดใหญ่ให้กับ สำนักงาน ส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล มีอาจารย์จาก กศน. มาไม่ต่ำกว่า 50 คน ส่วนใหญ่แล้วนับถือศาสนาอิสลาม ผมตั้งคำถามลงไปเลย ในห้องว่า

“ใครไม่เชื่อในพระเจ้าบ้าง”​ แถบไม่มีใครยกเลย  จากนั้นก็ค่อยๆ ยกทีละคนสองคน

มีคนหนึ่งที่ยกขึ้นคือ ผู้อำนวยการฝ่ายธุรกิจสัมพันธ์ โรงพยาบาลศิครินทร์หาดใหญ่

ยกมือขึ้น “ผมไม่เชื่อครับ”  

สิ่งที่ผมถามไปนั้นผมต้องการท้าทายให้เห็นในโลกของความเชื่อ และ โลกของความขัดแย้ง โลกของโซเชียลมีเดียเพื่อแสดงความคิดเห็น  ผมอยากให้ผุ้ฟังเห็นว่าเรามีควาแตกต่างกันทางความเชื่อได้ แต่บางอย่างเราต้องเชื่อ

ในก็คือเทคโนโลยี  เพราะใครไม่ใช้เทคโนโลยี  เทคโนโลยีจะทำลายตัวเรา ให้ล้าหลังไปกับสังคมที่เปลี่ยนแปลง ซึ่งผู้เข้าฟังสัมมนาไม่มีใครไม่ใช้สมาร์ทโฟน

เทคโนโลยีสร้างสรรค์โดยมนุษย์ และเหมือนมีระเบิดเวลาทำลายตัวเองอยู่ทุกขณะ ทุกช่วงเวลา

จากไอโฟน สู่ ไอโฟน  7  จากไอโฟน 7  สู่ไอโฟนสีแดง เป็นตัวอย่างที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด

โลกของแท็กซี่ในกรุงเทพและปริมณฑลเปลี่ยนไป คนโบกแท็กซี่น้อยลง เพราะหันไปใช้แอพ Grab

เรียกรถ หรือ ใช้แอพ Uber  คนธรรมดาเปลี่ยนเป็นคนขับรถแท็กซี่   คนขับรถแท็กซี่ที่ไม่ใช้สมาร์ทโฟนกับ Grab ก็จะหาเงินยากขึ้นเรื่อยๆ  

ความสะดวกสบายเกิดขึ้น เมื่อผู้โดยสายอยู่ในบ้านในซอยเปลี่ยนไม่ต้องมาออกมาโบกรถ  รถแท็กซี่วิ่งเข้าไปรับหน้าบ้าน ด้วยการตาม GPS ไปโดยไม่ต้องคอยพูดคุยบอกเส้นทางมารับที่บ้าน

 

มี 2 เรื่องที่ที่อยากเล่าให้ท่านผู้อ่านได้รู้จักความโหดร้ายและรุนแรงของเทคโนโลยี

แม้ว่าคุณจะเชื่อมั่นก็ตาม

 

ผมย้อนนึกถึงเหตุการณ์อย่างน้อยสองเหตุการณ์ที่เทคโนโลยีทำให้ธุรกิจล่มสลายถ้ายื้อต่อไปคุณจะมีแต่หมดหมดแล้วก็หมดไม่  บางครั้งเทคโนโลยีก็เหมือนธรรมชาติที่คุณไม่สามารถฝืนกระแสและความเปลี่ยนแปลงของเค้าได้มีอย่างน้อยสองธุรกิจที่ใกล้ชิดกับผมและ และผมได้มีส่วนร่วมใกล้ชิดในการเป็นที่ปรึกษาด้านโซเชียลมีเดียเพื่อการประชาสัมพันธ์ในที่สุดเขาไม่สามารถทนทานต่อความเปลี่ยนแปลงอันเกิดจากเทคโนโลยีได้มาฝากกันครับ

 

ก่อนทีวีดิจิตอลจะมีการประมูลไม่นานนะเพื่อนผมคนหนึ่งหลังจากประสพความสำเร็จในธุรกิจออนไลน์และการขายคอนเทนท์บนโทรศัพท์มือถือในยุคก่อนที่ iPhone จะเกิดขึ้นเค้าอยากทำธุรกิจสื่อมวลชนด้วยการทำช่องสถานีทีวี ตัดสินใจลงทุนตั้งบริษัทเกี่ยวกับทีวีขึ้นและเช่าช่องสัญญาณดาวเทียมรวมถึงทำอินเตอร์เน็ตทีวี ปรากฏว่าแทบไม่มีโฆษณาเข้ามาเลยหมดเงินไปเดือนละ 1 ล้านบาท ในที่สุดเขาไม่สามารถทนขาดทุนได้ และปิดกิจการลง หมดเงินไปประมาณ 20 ล้านบาท ในตอนแรกเขามาขอให้ผมช่วยขายอุปกรณ์ กล้อง เครื่องมือตัดต่อวีดีโอ สปอร์ตไลท์ เรียกว่าทุกอย่าง ผมก็ช่วยเขาแต่ก็ไม่มีใครสนใจซื้อ ซึ่งถ้าหากยื้อต่อไปก็มีต่อหมดกับหมด ยิ่งมาถึงยุคทีวีดิจิตอลแล้ว ทุกอย่างหนักลงไปเรื่อยๆ

โลกขยับเข้าสู่โซเชียลมีเดียคนธรรมดาเป็นเจ้าของสื่อได้  ผมก็นึกไม่ออกเหมือนกันว่า ถ้าหากเขายังยื้อต่อในการทำธุรกิจสถานีโทรทัศน์ ไม่ใช่เขาไม่เก่ง เขาเก่งกาจมากในธุรกิจอินเทอร์เน็ตแต่พอเปลี่ยนเข้ามาในเกมส์ใหม่ เข้าสู่ประเมินเทคโนโลยีผิดพลาด รวมทุกสภาพแวดล้อมทางธุรกิจทุกอย่าง

 

ธุรกิจอีกรายที่เทคโนโลยีทำลายล้างก็คือบัตรโทรศัพท์ทางไกลระหว่างประเทศ

ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่ผมให้ความเคารพนับถือจ้างผมไปเป็นที่ปรึกษาในอัตราเงินเดือน  60,000 บาท

ช่วงเวลานั้น ธุรกิจบัตรโทรศัพท์ระหว่างประเทศมียอดขายมากกว่าเดือนละ  10  ล้านบาท

กลุ่มลูกค้าคือ ผู้ใช้แรงงานชาวกัมพูชาและพม่า ใช้โทรศัพท์ทางไกลโทรกลับบ้านใช้บัตรโทรศัพท์จะมีค่าโทรที่ถูกมากกว่าผู้ให้บริการรายอื่น

 

ต่อมาไม่นานนักเมื่อ Line และ Facebook เข้ามาอยู่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผู้คน บัตรโทรศัพท์

ไม่จำเป็นอีกต่อไปเลย เขาเหล่านั้นใช้  Line และ Facebook โทรกลับบ้านโดยไม่เสียค่าอินเทอร์เน็ตเท่านั้น แถมมีภาพและเสียง

 

“ไตร ถ้าพี่ยื้อธุรกิจต่อ พี่ต้องหมดเงินไม่ต่ำกว่า 10 ล้าน พี่ตัดสินใจถอนหุ้นยกเลิกบริษัทจ่ายเงินเดือนชดเชยให้กับพนักงานแล้วไปเริ่มต้นธุรกิจใหม่ในชีวิต” ผู้ใหญ่ท่านนั้นพูดกับผมตอนที่เราเจอกันหลังจากเหตุการณ์ผ่านไป 3 ปี

 

ผมยอมรับว่าฟังแล้วตกใจมากไม่คิดว่าอานุภาพของเทคโนโลยีทำลายล้างอย่างรวดเร็ว  โดยไม่สามารถต้านทานอะไรได้เลย

 

ย้อนกลับไปที่เพื่อนผมคนแรก เขาเคยพูดกับผมเสมอว่า

“ผมเป็นคนชอบความเปลี่ยนแปลงเพราะความเปลี่ยนแปลงมีโอกาสเสมอ”

ซึ่งก็เป็นความจริงผมก็เป็นคนหนึ่งที่รอจังหวัดความเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี

 

วิธีการให้อยู่รอดในโลกของเทคโนโลยี จงเชื่อกับมัน เรียนรู้ไปกับมัน มีเทคโนโลยีที่ล้มเหลว และ มีเทคโนโลยีที่เกิดใหม่อยู่ตลอดเวลา แม้ว่าเราจะไม่ใช่ประเทศที่ผลิตเทคโนโลยีได้เหมือนประเทศอื่น

หรือแม้แต่เราไม่ใช่ผู้ประกอบการเทคโนโลยี เราสามารถที่จะนำเทคโนโลยีมาสร้างธุรกิจให้เติบโตขึ้นได้หรือแม้แต่เรื่องที่ใกล้ตัวที่สุดก็คือ ลองใช้งานแอพใหม่ ๆ สมาร์ทโฟน รุ่นใหม่ แท็บเล็ต ฯลฯ

และการอ่านเรื่องราวใหม่ๆ ของเทคโนโลยีก็จะช่วยให้เราไม่ถูกเทคโนโลยีทำลายล้างไปได้

 

ชีพธรรม คำวิเศษณ์

 

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ