วันศุกร์ 31 มีนาคม 2560 ที่ผ่านมาเวลาเช้าตื่นนอนผมหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมาแล้วเปิด Facebook เพื่อดูความเคลื่อนไหวชีวิตของเพื่อนๆ ว่าใครทำอะไรที่ไหน อย่างไรบ้าง โลกของเฟซบุ๊กเป็นเรื่องของความสัมพันธ์ชีวิตจริงๆ แชร์แบ่งปันชีวิตและความรู้สึกในแต่ละวันเวลาที่ผ่านไป
ภาพที่ขึ้นมาเป็นภาพที่ย้อนอดีตเมื่อวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ.2544 เวลานั้นผมตั้งบริษัทไทยเวนเจอร์ดอทคอมจำกัด เป็นบริษัททางด้านสื่อสารมวลชน จัดสัมมนา ให้ความรู้และข้อมูลเกี่ยวกับ Start Up และการหาเงินทุนออนไลน์ ภาพบนเฟซบุ๊กนั้นได้ดึงความทรงจำของในวันนั้นผมได้เชิญ คุณเสฐียรพงษ์ ธรรมสอน จาก บริษัท Oracle ซึ่งเป็นบริษัทด้านซอฟต์แวร์ฐานข้อมูลอันดับ 1 ของโลก (ปัจจุบันคุณเสถียรพงษ์ทำธุรกิจอาหารร้านพริกแดง) เวลานั้น Oracle ได้มีแคมเปญไปทั่วโลกในการหาเงินทุนออนไลน์หรือเรียกว่า Seeking Fund Online เป็นการหาเงินทุนเริ่มต้นทำธุรกิจ Start up
ใน พ.ศ. นั้น เป็นยุคธุรกิจดอทคอม กำลังบูม แต่ก็ใกล้จะถึงขาลงแล้ว เวลานั้น Yahoo ดังสุด ๆ Google ยังไม่เป็นที่โด่งดัง ธุรกิจดอทคอมเป็นการสร้างเว็บไซต์แล้วก็ขายกิจการต่อ หลังจากจัดสัมมนาไม่นานฟองสบู่ธุรกิจเทคโนโลยีก็ถึงกาลล่มสลาย ส่งผลมาถึงประเทศไทยด้วยเช่นกัน
แต่จิตวิญญาณของผู้ประกอบการไฮเทคเทคโนโลยีในเมืองไทยก็ยังคงอยู่ต่อมา
ความทรงจำได้ย้อนกลับขึ้นมาทำให้ผมนึกถึงนะเวลาใน พ.ศ.2560 หลายหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน ได้กำลังส่งเสริม start up เพียงเทคโนโลยีได้เปลี่ยนไปจากเว็บไซค์มาเป็น app ที่อยู่บนสมาร์ทโฟน และ IOT (Internet Of things)
ผมได้แท็กภาพเฟซบุ๊กที่เกิดขึ้นเมื่อ 16 ปีที่แล้วไปให้กับคุณพันฑิต สิรภพาธาดาเพื่อนนักจัดรายการวิทยุรุ่นพี่ที่จัดวิทยุด้วยกันมานานถึง 17 ปี ซึ่งในวันนั้น พี่พันทิต ก็ได้มาร่วมงานสัมมนาด้วยซึ่งจัดขึ้นที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง
หลังจากที่แชร์ภาพ 16 ปีแห่งความหลังขึ้นไปแล้ว พี่พันฑิตและ บก.เก่ง ได้โพสต์เฟสบุ๊คบอกว่าเป็นการจัดสัมนาที่ก้าวหน้ามากถ้ามองจากจุดนี้กลับไป ณ เหตุกาณ์วันนั้น ผมเองก็ยังถามตัวเองว่าตอนนั้นทำไปได้อย่างไรซึ่งผมคิดว่าเวลานั้นก็จะถือว่ายังเป็นเรื่องใหม่ในสังคมไทยมากๆแต่ตอนนี้หลังจากที่ผมกรำศึกมานานในแปดปีแรกของการทำธุรกิจผม ก่อนปิดบริษัทและเลิกราจากวงการธุรกิจมาสู่วงการวิชาการ Social Media และ Blogger, Youtuber
คนรุ่นหลังหลังอย่างคุณอรนุช เลิศสุวรรณกิจ แห่ง Techsauce media ซึงจัดสัมมนาเกี่ยวกับ StartUp ทำได้ดีมากๆจัดงานในระดับโลกเชิญบุคคลผู้มีชื่อเสียงมาในประเทศไทยซึ่งตัวเองแล้วชื่นชมสิ่งที่ทีมงานของเธอทำมากๆ สมาร์ทจริงๆ
หลังจากนั้น 1 วันผมมาจัดรายการกับคุณพันฑิตที่ fm101
“ไตรพี่ถามหน่อยภาพ 16 ปีนั้นมาจากไหน ได้มาอย่างไรเพราะนานมาก ๆ ไม่น่าจะเก็บไว้ถามแชร์ไว้บนเฟซบุ๊กด้วย” พี่พันทิตถามผมก่อนเข้ารายการวิทยุ
“ตอบตอนนี้ไม่สนุกพี่เดี๋ยวไปตอบในรายการวิทยุแล้วกัน สอนการใช้ไปด้วยเลยครับ
ให้แฟนรายการหยิบสมาร์ทโฟนแล้วทำตามขั้นตอนเลยครับ”
ผมได้ไปเล่าในรายการวิทยุอย่างนี้ครับ ฝรั่งในโลกตะวันตกให้ความสนใจกับเรื่องของ Nostragia หรือการรำลึกนึกถึงอดีตนึกถึงความทรงจำทางที่ดีและร้ายความทรงจำเหล่านี้เกิดจากภาพถ่ายเกิดจากเสียงเพลงเกิดจากบันทึก
“เพลงแรกที่คุณพันฑิตฟังแล้ว รู้สึกถึงความรักมากที่สุดคือเพลงอะไรครับ”
ผมถามในรายการวิทยุ
“เพลงหนี้รักครับ จำได้ว่าตอนนั้นอยู่ ม.3 นั่งรถสองแถว เห็นเด็กนั่งเรียนหน้าตาน่ารัก
ขึ้นรถด้วย เจอกันอยู่ 2-3 ปี แต่ก็ไม่ได้ทักทายกันเลย” คุณพันฑิตเล่าชีวิตรักครั้งแรกแต่หนหลังให้ฟัง่ผานวิทยุ
“นี่แหละครับ พูดถึงความหลัง ดึงความรู้สึกเก่าๆ พูดออกมาได้อย่างมากมาย”
เพลงหนี้รักเป็นบทประพันธ์เพลงของครูสง่า อารัมภีร์ ที่มีผลงานเพลงรักหวานซึ้งอย่างยิ่ง
ซึ่งผู้เขียนเมื่อครั้งเป็นวัยรุ่นก็ได้หัดเล่นเปียโนเพลงบทประพันธ์ของท่าน เช่นเพลง
น้ำตาแสงใต้, คืนหนึ่ง ,ทะเลไม่เคยหลับ ฯลฯ
ความลึกซึ้งและการมองโลกในอดีตของฝรั่งกับคนไทยต่างกันอย่างมากจากที่ผมศึกษามีการสอนเขียนเรื่องของ memoir writing หรือการเขียนบันทึกความทรงจำอย่างเป็นระบบในมหาวิทยาลัยซึ่งมากกว่าการบันทึกไดอารี่ มีการสอนลำดับขั้นเป็นขั้นเป็นตอนทั้งมีหนังสือเขียนออกมาตำนานสอนวิธีการเขียนและเป็นหนังสือเสียงในขณะเดียวกันด้วยนอกจากนี้ยังมี app ที่สนับสนุนเรื่องของการเขียนบันทึกความทรงจำเขียน app day one บน IOS และ แอพ Journey บนแอนดรอย
คุณพันฑิต ได้สัมภาษณ์ผมในรายการว่าคุณสมบัติภาพที่ facebook ดึงมาเกิดจากอะไรและสามารถเข้าไปดูได้ตรงไหน
ผมได้แนะนำไปในรายการวิทยุและอยากจะเชิญชวนท่านผู้อ่านลองเข้าไปดูคุณสมบัติตรงนี้โดยการที่เปิดแอพ facebook บนสมาร์ทโฟน ของตัวเองแล้วมองไปที่มุมขวาล่างคลิกเข้าไปจะเห็นคุณสมบัติที่เขียนว่าผ่อน On this day ตรงนั้นเป็นภาพเก่าๆที่ facebook จะดึงขึ้นมาเป็นวันเดียวกันกับมือในอดีตไม่ว่าจะเป็น 1 ปี 2 ปี 3 ปี 4 ปีหรือเวลาปีไหนก็ตามที่เกิดขึ้นแล้วถูกบันทึกไว้ในวันนั้น
ตรงนั้นคือไทม์ไลน์ เส้นเวลา ชีวิตของทุกท่านที่บันทึกไว้ในเฟซบุ๊ก
ถ้าหากเราอยากจะเขียนบันทึกไดอารี่หรือมันคือความทรงจำในรูปแบบใหม่ยุคปัจจุบันแทนการบันทึกไดอารี่ในสมุดจดให้เราโพส facebook แล้วก็เขียนบันทึกลงไปเลยครับภาพและข้อความเหล่านี้จะเป็นเหมือนกับไดอารี่ที่ออกมาเตือนทุกๆ ปีเมื่อท่านเปิด facebook มาในปีถัดไป
สำหรับการบันทึกชีวิตในรูปแบบใหม่นอกจาก Facebook แล้วเรายังสามารถบันทึกชีวิตด้วยแอพ Google photo หรือ Google รูปภาพ ซึ่งถ้าใครใช้สมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ ก็มีติดตั้งมาให้เรียร้อย โดยที่ท่านสามารถจะอัพโหลดรูปภาพทั้งหมดจากสมาร์ทโฟนไปเก็บไว้บน Cloud และสามารถเปิดในคอมพิวเตอร์ที่เว็บไซต์ Google photoหรือท่านสามารถจะดู Timeline ของภาพทั้งหมดที่ได้มีการถ่ายไว้ในการบันทึกนั้นท่านสามารถที่จะตั้งเป็นอัลบั้มแล้วสามารถที่จะเขียนลงไปในใต้ภาพรวมถึงใส่แผนที่ Google map ลงไปด้วยหรือถ้าอยากจะบันทึกในภาพเดียวรูปเดียวก็สามารถทำได้ตรงนี้เป็นการบันทึกไดอารี่ของชีวิตในรูปแบบใหม่ด้วยสมาร์ทโฟนของเราเองซึ่งแอป Google photo มีประโยชน์มากๆ ในการที่จะทำให้เลยเราเห็น Timeline ของชีวิตอันเกิดจากภาพถ่ายที่เราได้ถ่ายไว้โดยส่งผ่านสายตาของเราเอง
ความจริงแล้วชีวิตของเรามีชีวิตของทุกคนก็มีเรื่องราวทุกคนเป็นนักเล่าเรื่องทุกคนเป็น Storyteller ทุกคนเป็นผู้กำกับหนังของชีวิตของตัวเองทุกคนเป็นคนเขียนบทครับเรื่องที่เกิดขึ้นชีวิตของคนเรามีทุกข์และมีสุขมีหลากหลายอารมณ์เดินทางไปที่ต่างๆในแต่ละวันอาหารที่กินแต่ละมื้อก็ไม่เหมือนกันเพราะฉะนั้นการบันทึกชีวิตในรูปแบบใหม่ที่ผมได้เล่ามาทั้ง Facebook และ Google photos นั้นสามารถที่จะแบ่งปันเรื่องราวของชีวิตให้ผู้อื่นไปติดตามชมได้อีกด้วย
อยากขอเชิญชวนทุกท่านบันทึกชีวิตและใช้งานคุณสมบัติของ Facebook on this day และ Googles photos ให้เต็มประสิทธิภาพจะทำให้ท่านเป็นนักเล่าเรื่องและบันทึกชีวิตได้เหมือนกับนักเขียนที่เขียนอัตชีวประวัติตัวเองครับ
ชีพธรรม คำวิเศษณ์
บันทึก จันทร์ 3 เมษายน 2560