บทที่ 1 นักล่าฝันเส้นทางสายรุ้ง : ดร.สมฤดี ศรีจรรยา

ดร.สมฤดี ศรีจรรยา

จำได้ว่าก๋งเคยสอนไว้น่าคิดว่า “เมื่อถึงเวลาไหน ให้ชักธงนั้น” เป็นเรื่องจริงที่ว่าเมื่อถึงเวลาไหนก็ให้ชักธงนั้น ไม่ต้องไปคิดหน้าคิดหลัง ถึงเวลามันมาเอง ก็ว่ากันไปตอนนั้น ถ้าจะต้องรบก็ต้องรบ ถ้าจะพักก็ต้องพัก

“ความฝันนั้น เป็นกำลังใจของเรา ถ้าคนเราไม่รู้จักความพอใจกับความสำเร็จเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิต ชีวิตเราก็จะหาความสุขไม่ได้เลย”

 

สายรุ้ง สานฝัน

            ทุกครั้งที่ฝนตกและแดดก็ออกทอแสงรำไร บางครั้งจะได้เห็นสายรุ้งใหญ่พาดสีสันบนท้องฟ้าเป็นวงใหญ่โค้งเหมือนรูปวาดที่งามจับตา สีสันอันงดงามของรุ้งนั้นเป็นจินตนาการอันบรรเจิดที่ทำให้หัวใจเราทุกคนอดไม่ได้ที่จะลิ่วละล่องลอยพริ้วไปกับสายรุ้ง

เมื่อตอนเด็กๆ เคยคิดว่าถ้าขึ้นไปจับสายรุ้งได้ และแตะสายรุ้ง ถ้าเราเหาะได้ ถ้าลอยได้เหมือนนกคงจะมีความสุขมากทีเดียว เพราะสายรุ้งสวยเหลือเกิน สวยเหมือนน้ำตาลสายไหม

ความฝันที่ว่านี้เอง ที่กลายเป็นความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ เป็นสิ่งมหัศจรรย์เหลือเชื่อ ปัญญาของเรานี่แหละที่ทำให้โลกก้าวหน้ามาจนถึงทุกวันนี้ และดูท่าทีว่าจะไม่มีวันหยุดนิ่ง

ว่ากันว่า ถ้าปราศจากความฝันแล้วเสีย โลกของเราก็จะเป็นอันถึงจุดจบกัน วิวัฒนาการและความเจริญก็เป็นอันสิ้นสุด

สิ่งที่สวยงามและความเจริญที่เราได้เสวยสุขทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าอันสวยงาม ที่เราใส่ บ้านที่เราอยู่ ทีวีที่เราดู คอมพิวเตอร์ที่เราใช้ ไฟฟ้า ประปา โทรศัพท์ ความสะดวกสบายทั้งหลายไปจนถึงรถยนต์ เครื่องบิน รถไฟฟ้า เหล่านี้ล้วนมาจากความใฝ่ฝันของมนุษย์ผู้ไม่ยอมแพ้ทั้งสิ้น

การดิ้นรนเพื่อเอาชนะธรรมชาติ เกิดจากความฝันและคำถามว่า “ทำไมเราจะทำไม่ได้” แล้วก็อาศัยความอดทน มานะ พากเพียร วิริยะอุตสาหะ ความขยัน ทำงานหนักต่อสู้กับความเย้ยหยัน เสียงหัวเราะเยาะ ในที่สุดรางวัลแห่งความพยายามก็เกิดขึ้นกับนักสู้ผู้ไม่ยอมแพ้ ใช่แล้ว… ความฝันคือสมบัติอันงดงามบรรเจิดของเด็กทุกคน ของคนทุกคน ทุกอย่างในชีวิตก็ต้องเริ่มจากความฝันทั้งนั้น

 

ความฝันของเด็กนักเรียน 

เมื่อได้เข้าเรียนโรงเรียนคอนแวนต์ที่มีซิสเตอร์ใจดีเป็นครูเจ้าระเบียบที่สอนวิธีการดำรงชีวิตอย่างมีวินัย เรียนอย่างมีระบบ สอนให้เราทุกคนสวดมนต์ถึงพระเยซู แล้วความฝันของเราก็บรรเจิด เพราะภาพของพระเยซูที่เรารู้จักคือ พระผู้มีใจดี มีเมตตา ทรงรักเรา ดูแลเราตลอดเวลา เวลาโรงเรียนมีงานคริสต์มาสก็จะมีของขวัญ มีขนมมากมายมาแจก แล้วก็ได้รับเลือกให้เล่นละครเป็นตัวลูกแกะน้อย ใส่ชุดแกะสีขาว สะอาด สวยงาม เล่นบทเด่นมาก คือ คอยคลายไปมาบนเวที ให้เพื่อนๆ ที่ได้เล่นเป็นครอบครัวพระเยซู พอละครเปลี่ยนฉาก ก็ได้เปลี่ยนจากชุดลูกแกะมาเป็นชุดต้นไม้แทน ต้องไปคอยยืนนิ่ง ให้เพื่อนๆ แสดง ทำให้สงสัยอยู่ทุกวันนี้ว่าตอนเด็กๆ หน้าตาคงน่ารักน่าเอ็นดูเหมือนลูกแกะกับต้นไม้มั้ง พอละครเลิกเราก็รู้สึกโล่งใจมาก ที่ชีวิตจริงกับบทละครไม่เหมือนกัน พอกันทีหลังจากนั้นใครมาชวนเล่นละครล่ะก็ เป็นอันต้องปฏิเสธไว้ก่อนเลย

 

ฝันให้ไกล แล้วล่าไปให้ถึงฝัน
                บางทีก็ฝันว่าในหนึ่งพระผู้เป็นเจ้าท่านจะทรงเมตตาประทานพรให้เราได้เป็นเจ้าหญิงแสนสวย แบบซินเดอเรลล่ากับเขาบ้าง และให้ได้โตเป็นผู้ใหญ่ที่หน้าตาสะสวย งดงาม มีทรัพย์สมบัติมาก และในที่สุดก็ได้พบเจ้าชายหล่อๆ ในฝันบ้าง

วันนี้โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ชีวิตในฝันนั้นไม่มี แต่ชีวิตที่ต้องสู้ทุกย่างก้าว กว่าจะได้อะไรมาก็แสนจะลำบากแทบเลือดตากระเด็น กว่าจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ก็เสียหยาดเหงื่อและน้ำตาไปเยอะ ต้องไปอาศัยญาติพี่น้อง และเช่าหอพักแคบๆ อยู่ ต้องอยู่อย่างอดทนเพื่ออนาคตอันไกลก็ไม่ปริปากบ่น เพราะในความจนนั้น สิ่งที่เรามีอยู่ก็คือความฝันนั่นเอง

            ฝันว่า… วันหนึ่งจะมีบ้านสวยๆ สนามกว้างๆ แล้วจะได้พาแม่และพี่ๆ น้องๆ มาอยู่ด้วยกัน มีรถคันใหญ่สวยๆ นั่ง  มีเสื้อผ้าแสนสวย อาหารอร่อยๆ มีงานทำที่แสนสบาย มีลูกน้องบริวารมากมายที่รู้ใจ ทำธุรกิจที่สืบต่อความฝันของพ่อ ไม่ต้องเป็นลูกจ้างใคร ประสบความสำเร็จรุ่งเรืองมีหน้ามีตา และถึงเวลาก็จะไปเที่ยวเมืองนอกกันให้สนุกพาแม่ไปเที่ยวทุกเมืองที่อยากจะไปกัน

แล้วก็เป็นนักล่าฝันที่ทำงานหนัก ทำงานแบบไม่มีวันหยุด กว่าจบมหาวิทยาลัย เริ่มทำงานจากนักข่าวหนังสือพิมพ์ตัวเล็กๆ เป็นลูกจ้างบริษัทแล้วบริษัทเล่า เป็นพนักงานการตลาด หอบหิ้วสินค้าไปทดลองขายต่างจังหวัด ภาคอีสานติดชายแดน ซึ่งเสี่ยงอันตรายมาก เพราะเป็นทีมสาวๆ ทั้งนั้น ไปเดินแจกตัวอย่างผ้าอนามัย ซึ่งเป็นสินค้าตัวใหม่ของบริษัทฯ แล้วก็ทำแบบสอบถามที่ฝ่ายวิจัยบริษัทให้มา ชาวบ้านเขาก็มองเราด้วยความสมเพช กึ่งแปลกใจว่าสาวกรุงเทพฯ มาทำอะไรกัน

ไม่กล้าแม้แต่จะบอกแม่ว่าลำบากแค่ไหน เพราะถ้าแม่ถามก็จะบอกว่า “ไม่มีอะไรค่ะ ทำงานสนุกมาก ไม่น่ากลัวอะไรหรอกแม่ หนูสบายมากค่ะ”

กว่าจะเป็นผู้จัดการผลิตภัณฑ์ในบริษัทการตลาด ก็ต้องฝึกเดินตลาดจนขาแทบหลุด ไปจัดงานแจกใบชาตรามังกร ในงานมังกรนครสวรรค์แต่งชุดเสื้อยืดแดงโร่ หน้าอกเสื้อมีมังกรตัวใหญ่ เดินแจกใบชา และวิ่งติดป้ายติดธงตรามังกรทั้งจังหวัด เข้าขบวนแห่แล้วก็เลยลองออกไอเดียให้มังกรตัวยักษ์พ่นใบชาแทนการพ่นไฟ ปรากฏว่าไอเดียเวิร์กแฮะ ทำให้ชาวบ้านแย่งกันใหญ่ว่าเป็นใบชาศักดิ์สิทธิ์ สนุกสนานกันเสร็จแล้วก็เหนื่อยแฮ่กๆ มานั่งหอบหมดแรงทั้งทีม ไม่มีอะไรที่สบายเลยสักนิด แต่เราอยู่ด้วยความหวังเรืองรอง อยู่ด้วยความฝันที่ต้องวิ่งไปไล่ล่ากันต่อไป จนกว่าชีวิตจะหาไม่

 

ข้อคิดจาก นักล่าฝัน

            วันหนึ่งนั่งดูรายการทีวีช่องหนึ่ง เป็นรายการเรียลลิตี้ โดยจะคัดเลือกคนมาจำนวน 12 คน แล้วก็ให้ไปเข้าค่ายพิเศษชนิดที่ต้องกินนอนอยู่ด้วยกันตลอด 24 ชั่วโมง ไม่ให้ไปไหนเลย ถ้าไม่ตกรอบก็อยู่ด้วยกัน 12 สัปดาห์

ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกัน ทางรายการจะถ่ายทอดสด 24 ชั่วโมง จะเห็นหนุ่มสาวจากต่างถิ่นต่างฐานะที่ต้องมาเข้ามาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน กินด้วยกัน นอนด้วยกัน ซ้อมด้วยกัน แข่งกันแบบสุดชีวิต เพื่อเอาตัวให้รอดอยู่เป็นคนสุดท้าย แต่ที่สุดก็กลับรักกัน สนิทสนมกัน ห่วงใยกัน จากคู่แข่งก็กลายเป็นเพื่อน เป็นพี่เป็นน้อง ทั้งที่รู้ว่าจะต้องแข่งกัน และถูกคัดออกไปทีละคนทุกสัปดาห์

ทุกคนที่ร่วมการแข่งขันต้องซ้อมหนัก ถูกสอนในเรื่องการร้อง การเต้น การแสดงออกต่อหน้าเพื่อนๆ และทุกสัปดาห์ก็จะต้องออกไปเวทีจริง ช่วงเวลาที่ระทึกที่สุดคือ การประกาศชื่อ 3 คนที่ได้คะแนนน้อยที่สุด แล้วสุดท้ายก็ประกาศคนที่ได้คะแนนน้อยที่สุดที่จะต้องออกจากบ้านไป

การให้คะแนนโหวต กลายเป็นสิ่งที่ทำให้เสียงผู้ติดตามรายการทั่วประเทศได้มีส่วนร่วมในการเลือกผู้เข้าแข่งขันที่ตนเชียร์ กลายเป็นกระแสคลื่นความนิยมดังไปทั้งประเทศ

หลายคนแย่งกันหาบัตรมาเชียร์กันในห้องส่ง กลายเป็นรายการยอดฮิต และคลื่นความนิยมในตัวศิลปินรุ่นใหม่เหล่านี้จากเด็กที่ไม่มีใครรู้จักซึ่งมีบุคลิกเอกลักษณ์แตกต่างกันไปก็ดังเป็นพลุแตก

สิ่งที่ไม่น่าเชื่อคือ นักล่าฝันซึ่งเข้ามาด้วยความฝันที่เต็มเปี่ยม การแข่งขันกับตัวเองสุดชีวิตเพื่อพิสูจน์ว่าการถูกสอนด้วยอาจารย์คนเดียวกัน ถูกวิจารณ์แก้ไขจุดอ่อนอย่างหนัก แต่ทุกคนก็ต่อสู้เพื่อเอาชนะคำสอนอาจารย์ คำปรามาสของกรรมการที่วิจารณ์แบบแหลกลาญไม่ไว้หน้า คนที่ถูกคัดออกไปก็ต้องยอมรับเสียงประชาชน แล้วดูประหนึ่งว่าฝันสลายที่ต้องอำลาเวทีหิ้วกระเป๋าไปทั้งรอยยิ้มและน้ำตา

กลายเป็นรายการที่คนดูทั้งในห้องส่งและที่บ้านเชียร์ด้วยหัวใจ ร้องไห้เมื่อศิลปินในดวงใจของตัวเองถูกคัดออก รวมถึงเพื่อนที่ได้เข้ารอบก็หันมากอดกันด้วยความใจหาย

รู้สึกทึ่งกับความคิดของทีมทำรายการ แม้จะยกไอเดียมาจากต่างประเทศ แต่สามารถปรับจนกลายเป็นรายการยอดฮิตสูงสุด ทำลายทุกสถิติในเมืองไทยได้

แต่สุดท้ายแล้วผู้เข้าร่วมการแข่งขันทั้ง 12 คน ก็ได้เป็นศิลปินที่ร่วมฝ่าฝันอุปสรรคร่วมกันมา

 

ความฝัน ที่กลายเป็นความจริง

“ความฝันที่กลายเป็นจริง” บทพิสูจน์ที่ชัดเจนว่าความสามารถของมนุษย์นั้นสอนได้ ศักยภาพมนุษย์นั้นปรับได้ จุดอ่อนของมนุษย์นั้นแก้ไขได้ และสุดท้ายความสำเร็จที่มาด้วยหยาดเหงื่อและน้ำตา สุดท้ายคือรางวัลที่เกินฝัน แต่ไม่ว่าจะเหนื่อยยากแค่ไหน ความสนุกคือหัวใจสำคัญ

ทำงานหนัก ทุ่มเทชีวิต แต่สนุก… ความสนุกกับความหนื่อยยาก มักแยกจากกันไม่ได้

และนี่เองคือกำลังใจให้ลุกขึ้นมาเขียนหนังสือเล่มนี้ เพราะคิดว่าประสบการณ์กว่า 20 ปีของตัวเอง ที่กว่าจะไต่เต้ามาเป็นผู้จัดการ มาเป็นกรรมการผู้จัดการ มาเป็นเจ้าของธุรกิจ น่าจะเป็นสิ่งที่ถ่ายทอดได้ เรียนรู้ได้ เอาบทเรียนที่ได้มา ความล้มเหลวเจ็บปวดที่เคยได้รับ คำดูถูกคำปรามาสมาเป็นกำลังใจ

แล้วก็ถ่ายทอดออกมาเป็นหนังสือเล่มเล็กๆ นี้

จำได้ว่าก๋งเคยสอนไว้น่าคิดว่า “เมื่อถึงเวลาไหน ให้ชักธงนั้น” เป็นเรื่องจริงที่ว่าเมื่อถึงเวลาไหนก็ให้ชักธงนั้น ไม่ต้องไปคิดหน้าคิดหลัง ถึงเวลามันมาเอง ก็ว่ากันไปตอนนั้น ถ้าจะต้องรบก็ต้องรบ ถ้าจะพักก็ต้องพัก ถ้าชนะก็เป็นเรื่องน่ายินดี ถ้าแพ้ก็บอกตัวเองไปว่าไม่เป็นไร สู้กันใหม่

 

“ตราบใดที่คนเรามีลมหายใจ เราก็ยังมีความฝัน ความหวัง เป็นเครื่องล่อเลี้ยงหัวใจ แน่นอน…ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จย่อมอยู่ที่นั่น แม้จะเป็นความสำเร็จเล็กๆ น้อยๆ ถ้าคนเราไม่รู้จักพอใจกับความสำเร็จเล็กๆ น้อยๆ ชีวิตเราก็จะหาความสุขไม่ได้” 

 

 

 

 

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ